เมื่อปลายปี 2546 ก่อนที่จะเข้าสู่ปี 2547 ที่เพิ่งผ่านพ้นมา เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะฟื้นตัวอย่าง ก้าวกระโดด ด้วยอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 6.8% ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ดีดขึ้น อย่างรวดเร็วสูงกว่า 800 จุด ทำให้ทุกฝ่ายประเมินภาพเศรษฐกิจไทยปี 2547 ว่าจะทะยานต่อสู่ดวงดาว ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 7-8%
แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2547 จริงๆ ปัจจัยลบที่ไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า ทั้งจากในประเทศและ ต่างประเทศ ต่างเข้ามาบั่นทอนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย อาทิ สถานการณ์ความรุนแรง ในภาคใต้ การระบาดของไข้หวัดนก และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทำให้ภาพรวมปี 2547 แม้ว่าจะยังเติบโตได้ในอัตราที่ดี แต่ไม่พุ่งพรวดพราดอย่างที่ทุกคนหวัง
ในช่วงขึ้นปีใหม่ 2548 นี้ ทีมเศรษฐกิจ จึงประมวลภาพเศรษฐกิจไทยปี 2547 รวมทั้งการประมาณ การเศรษฐกิจปีนี้ ให้เห็นภาพชัดเจนว่าจะเติบโตต่อไปอย่างไร ท่ามกลางปัญหาเดิมที่ค้างคาอยู่ รวมถึงความผันผวน และปัจจัยเสี่ยงใหม่ๆ ที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น
ความรุนแรงภาคใต้-ไข้หวัดนกกระหน่ำ
จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2546 ที่ติดเครื่องได้อย่างกระหึ่ม ส่งผลให้เกิดพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2547 ให้ยังขยายตัวได้ต่อ โดยมีภาคการส่งออกซึ่งขยายตัวอย่างโดดเด่นเพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อนเป็นพระเอกของปี จากผลการฟื้นตัวของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และปริมาณการค้าโลก
ในขณะที่การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน เป็นตัวช่วยหลักในครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้นกว่า 6% จากปีก่อน จากนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาล ด้านการลงทุนภาคเอกชน ปี 2547 เพิ่มขึ้นในอัตราสูงเช่นกัน จากการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในหลายภาคจนเต็มกำลังการผลิต และจำเป็นต้องขยายกิจการเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม จากการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ (สศช.) ประมาณการว่า การเติบโตของเศรษฐกิจปี 2547 ที่ผ่านมา ขยายตัวระหว่าง 6-6.3% ซึ่งต่ำกว่าประมาณการเดิมในช่วงต้นปี เนื่องจากปัญหาและ ปัจจัยลบนานาประการที่ดาหน้า เข้ามาบั่นทอนเศรษฐกิจไทย
ปัญหาแรกที่เข้ามาตั้งแต่ช่วงต้นปีอย่างไม่มีใครคาดคิด คือสถานการณ์ความรุนแรง และกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ เริ่มจากการปล้นปืนทหาร ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่มัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี และลุกลามต่อเนื่องมาตลอดทั้งปี จนถึงเหตุการณ์ล่าสุดการสลายการชุมนุมที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งสถานการณ์ เหล่านี้ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนและ นักลงทุนอย่างรุนแรง
ประกอบกับการระบาดของไข้หวัดนกที่เกิดขึ้นรอบแรกในช่วงเดือน ก.พ. และยังมีการ ระบาดรอบ 2 ต่ออีกในช่วงฤดูฝน ส่งผลให้รัฐบาลจำเป็นต้องฆ่าเป็ดไก่เพื่อป้องกัน โรคระบาดดังกล่าวลุกลาม รวมกันทั้งสิ้นกว่า 60 ล้านตัว การส่งออกไก่สดของไทยไปต่างประเทศหยุดชะงัก
ความเสียหายของไข้หวัดนก ธปท.ประเมินว่า สร้างความเสียหายให้กับ เศรษฐกิจไทยคิดเป็นเม็ดเงิน 50,000-60,000 ล้านบาท โดยการส่งออกไก่สด แช่แข็งของไทย ลดลง 91% ส่งผลลบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ให้ลดลง 0.7%
พิษน้ำมันแพงทำใช้จ่าย-ลงทุนหด
นอกเหนือจากไฟใต้ และไข้หวัดนกที่สกัดการขยายตัวในช่วงครึ่งปีแรกแล้ว ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็เป็นอีกปัจจัยหลักที่เข้ามาบั่นทอนเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง
ราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 27 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2546 เป็นเฉลี่ย 35 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ณ สิ้นปีนี้ ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่ารัฐบาลจะใช้นโยบายอุดหนุนราคาน้ำมันแล้วก็ตาม ราคาน้ำมันดีเซลสิ้นปี 2547 อยู่ที่ 14.59 บาทต่อลิตร และราคาน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 19.29 บาทต่อลิตร โดยกองทุนน้ำมันใช้เงินอุดหนุนราคาน้ำมันไปแล้วทั้งสิ้น 60,000 ล้านบาท
ปัจจัยราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมากนี้เอง ได้ซ้ำเติมให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนลดลง ต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรกลดลงอย่างรวดเร็วในครึ่งปีหลัง และอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ ความเชื่อมั่นลดลง คือการปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. จากนโยบายดอกเบี้ยขาลงเป็นดอกเบี้ยขาขึ้นเพื่อดูแลเงินเฟ้อ
ผลจากความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนเริ่มแสดงชัดขึ้นในปลายไตรมาสที่ 3 ต่อเนื่องไตรมาสที่ 4 การใช้จ่ายภาคเอกชนชะลอตัวต่อเนื่อง ขณะที่การลงทุนใหม่เกิดช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า
ภัยธรรมชาติเป็นอีกปัจจัยที่ไม่ควรประมาท ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง อย่างกรณีคลื่นยักษ์ สึนามิถาโถมเข้ามาสร้าง ความเสียหายให้กับฝั่งอันดามันของไทย ซึ่งจะเป็นปัญหากับ การท่องเที่ยวต่อไปจนถึงปีหน้า แต่ยังดีเศรษฐกิจไทยมีจุดแข็งจากแรงขับเคลื่อนเดิม และการส่งออกที่เพิ่มขึ้นช่วยประคองให้เติบโตได้ตลอดรอดฝั่ง
โดยสรุปแล้ว เศรษฐกิจไทยในปี 2547 ถึงจะมีปัจจัยลบมาทำให้เศรษฐกิจขยายตัวไม่ได้ตามเป้า แต่อัตราการขยายตัวที่ 6.2% ถือว่าไม่ใช่ระดับที่เสียหาย และที่สำคัญเป็นการเติบโตที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เห็นได้จากฐานการคลังที่ดีขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลถึง 4.2% ของจีดีพี และทุนสำรองทางการที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์.
* * * * * * *
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปีไก่ 2548 นี้ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนประเมิน ภาพเศรษฐกิจตรงกันว่า พลังขับเคลื่อนที่ยังมีต่อเนื่อง จะทำให้เศรษฐกิจปีนี้มีแรงที่จะ ขยายตัวต่อไปได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา หรือขยายตัวลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย เฉลี่ยเติบโตอยู่ที่ 5.5-6.2%
โดยภาพรวมของเศรษฐกิจในปีนี้มีความผันผวนมากขึ้น ทั้งจากปัจจัยเสี่ยงเดิมๆ ที่สะสางไม่เสร็จสิ้น และอาจต้องรับมือกับปัจจัยเสี่ยงใหม่ๆ ที่มาจากเศรษฐกิจต่างประเทศที่วิกฤติมากขึ้น
ยังเดินหน้าเพิ่มส่งออก-ลงทุน
ในช่วง 3 เดือนแรกของปี จะเป็นช่วงของการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงแรก อย่างไรก็ตาม หากไม่พลิกล็อกครั้งมโหฬาร รัฐบาลใหม่ที่จะบริหารประเทศต่อไป คงจะเป็นรัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรีคนเดิม
ทั้งนี้ คาดกันว่าในช่วงต้นปีนี้ เม็ดเงินที่สะพัดเทศกาลปีใหม่ ตรุษจีน และเม็ดเงินที่เข้ามา รองรับการเลือกตั้ง จะทำให้ภาคการใช้จ่ายภาคเอกชนกลับมาขยายตัวในอัตราที่ดีขึ้นอีกครั้ง
ขณะที่ตลอดทั้งปี การส่งออกจะยังเป็นกลจักรหลักในการขยายตัวของเศรษฐกิจ แม้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จากเศรษฐกิจสหรัฐฯและญี่ปุ่น รวมทั้งการจำกัดการเติบโตของเศรษฐกิจจีน จะส่งผลให้การส่งออกของ ไทยขยายตัวในอัตราต่ำกว่าปีที่ผ่านมา แต่จะยังเพิ่มขึ้นได้ในอัตราที่สูงถึง 10-19% จากปีก่อน
ส่วนการลงทุนภาคเอกชนนั้น ปี 2548 คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าปี 2547 เช่นกัน เนื่องจากภาคอุตสาหกรรม ได้ใช้กำลังการผลิตเต็มกำลังแล้ว ในหลายภาค ทำให้ต้องหันมาลงทุนใหม่เพิ่มเติม แต่อัตราเพิ่มขึ้นนั้น จะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของการเรียก ความมั่นใจจากนักลงทุนของรัฐบาล
การมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่เข้าตากรรมการเป็นเรื่องหนึ่งที่จะเรียกความมั่นใจ กลับมา จากนั้นขึ้นกับว่า รัฐบาลใหม่จะมีแนวทางรับมือกับปัจจัยเสี่ยงทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่จะเข้ามาได้ดีเพียงพอหรือไม่
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวน่าเป็นห่วง เพราะการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิสูงกว่า 10 เมตร โหมกระหน่ำ จ.ภูเก็ต พังงา กระบี่ ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ดูดเม็ดเงินท่องเที่ยวปีละจำนวนมหาศาล ในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้คนเสียชีวิตจำนวนมาก อาจจะสร้าง ผลกระทบต่อการจองที่พักและการท่องเที่ยวในปีนี้ได้
ศึกหนักในประเทศตามประชิด
สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งจะนำมาใช้เป็นอีกเครื่องมือในการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้น ในปี 2548 นี้ เม็ดเงินที่จะเข้ามาจริงคงมีไม่มาก
แต่อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจลงทุนที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ จะเป็นภาระผูกพันเศรษฐกิจไทย ในวันข้างหน้า สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ชี้ว่า รัฐบาลต้องตัดสินใจให้รอบคอบในโครงการที่คุ้มค่าที่สุด เพราะหากลงทุนใน โครงการขนาดใหญ่ ในวงเงินที่มากเกินไป และใช้วัตถุดิบที่ต้องนำเข้าสูงเกินไป จะเสี่ยงต่อความอ่อนแอด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว และส่งผลให้ไทยกลับเข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้ง
ความรุนแรงในภาคใต้เป็นอีกความเสี่ยงหนึ่งที่ต่อเนื่องมาจาก ปีก่อนที่จะกดดันความเชื่อมั่นของคนไทยและ นักลงทุนต่อไปในปีนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งหาแนวทางขจัดปัญหา รวมทั้งป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามจนกลายเป็นเรื่องของขบวนการการก่อการร้ายสากล ซึ่งจ้องจะใช้เวทีภาคใต้ของไทยเป็นเวทีแสดงพลังอำนาจ
หากรัฐบาลสามารถจบเรื่องนี้ได้เร็วเท่าไร ความมั่นใจจะกลับมาเร็วเท่านั้น ซึ่งหมายถึงการท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น และการลงทุนใหม่ที่รีรออยู่จะทะลัก เข้ามาอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น การกลับมาระบาดของไข้หวัดนก โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส) ที่กลายเป็นโรคประจำภูมิภาค ซึ่งมีแนวโน้มที่จะกลับมาระบาดทุกปี รวมทั้งโรคใหม่ๆที่ไม่ได้คาดหมายอื่น เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะกลับมากระทบ สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยได้เช่นกัน
มรสุมปัจจัยเสี่ยงนอกบ้านจ้องถล่ม
ทั้งนี้ นอกจากปัจจัยในประเทศแล้ว ปัจจัยเสี่ยงที่มาจากต่างประเทศในปีนี้จะมีความรุนแรง ไม่แพ้กัน เพราะมีการคาดการณ์ว่า ค่าดอลลาร์สหรัฐฯที่จะอ่อนค่าต่อเนื่องในปีนี้ จากผลของการขาดดุลการค้าและดุลการคลังของสหรัฐฯรวมกันกว่า 600,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จะเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ของเศรษฐกิจโลก
ด้านหนึ่ง การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ จะกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินสกุลหลัก ของโลก รวมทั้งค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงและความผันผวนที่จะเกิดขึ้นจะกดดันต่อค่าเงินบาท และทิศทางการส่งออกของไทยให้ผันผวนอย่างหนัก
อีกด้านหนึ่ง ความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความไม่เชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์ ที่เกิดขึ้นจะก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐฯเหมือนกับที่เคยเกิดในประเทศ ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจต่อเนื่องไปทั่วโลก และย่อมจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยให้ลำบากมากขึ้น
ในขณะที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และราคาน้ำมันที่จะเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้ จากการลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลดีดขึ้นไปอยู่ที่ลิตรละ 17-18 บาท รวมทั้งราคาน้ำมันโลกที่ยังมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและ การก่อการร้ายบ่อน้ำมันที่จะรุนแรงขึ้น ตามแนวทางของกลุ่มอัลเคดา ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ถือเป็นอีกปัญหาหนักที่ต้องหาทางแก้ไข
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงรอพิสูจน์ความสามารถรัฐบาล และความเชื่อมั่นของคนไทย แต่ถ้าทุกคนช่วยกันแก้ปัญหา เศรษฐกิจปีไก่ยังจะบินติดลมบนต่อไปได้โดยไม่ถลาร่อนลง.
ทีมเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทรัฐ ปีที่ 56 ฉบับที่ 17151 วันพุธที่ 5 มกราคม 2548
http://www.thairath.co.th/thairath1/2548/scoop/economic/jan/03/s_economic.php