ประหยัดภาษีกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
โดย ดร. ธนัยวงศ์ กีรติวานิชย์
อาจารย์ประจำภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า RMF ได้รับการพูดถึงค่อนข้างมากว่า หากลงทุนแล้วจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มากกว่าการลงทุนในกองทุนรวมโดยทั่วไป สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่า RMF เป็นการลงทุนในระยะยาว ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดการออมเงินสำหรับใช้จ่ายเมื่อยามเกษียณอายุเป็นหลัก นอกจากนี้การลงทุนใน RMF ยังมีความเสี่ยงมากกว่าการฝากเงิน ดังนั้น เพื่อสร้างแรงจูงใจสำหรับการลงทุนใน RMF ทางภาครัฐจึงพิจารณาให้การสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมแก่นักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดา โดยมีรายละเอียดดังนี้
· ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับกำไรที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain)
· ได้รับการลดหย่อนภาษีโดยไม่ต้องนำเงินลงทุนใน RMF ไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ในปีภาษีนั้น โดยเมื่อนำเงินลงทุนใน RMF นี้ไปนับรวมเข้ากับเงินลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่นักลงทุนมีอยู่เดิม ต้องไม่เกิน 300,000 บาทในปีภาษีนั้น
· สามารถลดหย่อนภาษีได้ถึง 600,000 บาทในแต่ละปีภาษี หากเลือกลงทุนทั้งใน RMF และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund: LTF)
อย่างไรก็ตามเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวข้างต้น นักลงทุนต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขการลงทุนของ RMF ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. เงินลงทุนใน RMF ต้องมาจากการประกอบอาชีพ และเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร
2. ต้องลงทุนขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 3% ของเงินได้ หรือไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อปี แล้วแต่ว่าจำนวนเงินใดจะต่ำกว่า
3. เงินลงทุนใน RMF ขั้นสูงสุดต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้ และเมื่อรวมเข้ากับเงินลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ กบข. ที่นักลงทุนมีอยู่เดิมต้องไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี ทั้งนี้หากมีการลงทุนเกินกว่าที่กำหนดข้างต้น และมีการขายคืนหน่วยลงทุน นักลงทุนต้องนำกำไรที่ได้รับจากการขายคืนหน่วยลงทุนเฉพาะส่วนที่เกินกว่าที่กำหนด ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย
4. ห้ามนำหน่วยลงทุนของกองทุน RMF ไปจำหน่าย โอน จำนำ หรือใช้เป็นหลักประกันใดๆ
5. ต้องลงทุนสะสมอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยไม่มีการระงับการลงทุนเกินกว่า 1 ปีติดต่อกัน ซึ่งหากมีความจำเป็นก็สามารถระงับการลงทุนได้แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปีติดต่อกัน ยกเว้นเสียแต่ว่านักลงทุนผู้นั้นไม่มีเงินได้จากการประกอบอาชีพแต่อย่างใด ก็สามารถว่างเว้นจากการลงทุนได้จนกว่านักลงทุนผู้นั้นจะมีเงินได้กลับมาลงทุนต่อไป ซึ่งในกรณีนี้ไม่ถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไขการลงทุนแต่อย่างใด ทั้งนี้ให้นับอายุการลงทุนแบบวันชนวันตั้งแต่วันแรกที่เริ่มลงทุน ยกตัวอย่างเช่น หากลงทุนซื้อหน่วยลงทุนของ RMF ในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2548 สามารถนับระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนครบ 1 ปี ในวันที่ 31 ธันวาคมปีถัดไปนั่นเอง
6. การขายคืนหน่วยลงทุนกระทำได้ก็ต่อเมื่อผู้ถือหน่วยลงทุนมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และต้องถือหน่วยลงทุนนั้นไม่น้อยกว่า 5 ปี ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเริ่มลงทุนตอนอายุ 51 ปีอย่างสะสม และต่อเนื่องในกองทุน RMF ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ไปในอนาคต จวบจนเมื่อนักลงทุนมีอายุครบ 56 ปี จะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้โดยไม่ผิดเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2553 นับเวลา 5 ปีพอดี
7. หากขายคืนหน่วยลงทุนก่อนเงื่อนไขการลงทุนที่กำหนดไว้ข้างต้น นักลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกต่อไป อีกทั้งต้องคืนเงินสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับในช่วง 5 ปีล่าสุดให้แก่กรมสรรพากร นอกจากนี้เงินที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุนยังต้องนำไปคำนวณรวมเพื่อเสียภาษีเงินได้ในปีที่มีการขายคืนหน่วยลงทุนนั้นด้วย
8. กรณีที่นักลงทุนขายคืนหน่วยลงทุนบางส่วนก่อนกำหนดในปีใดปีหนึ่ง และได้คืนเงินสิทธิประโยชน์ทางภาษีในช่วง 5 ปีย้อนหลังแล้ว (นักลงทุนยังคงถือครองหน่วยลงทุน RMF ในส่วนที่เหลืออยู่) หากนักลงทุนผู้นั้นประสงค์ที่จะลงทุนต่อก็สามารถลงทุนต่อเนื่องได้ทันที โดยสามารถนับระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนใหม่ต่อเนื่องจากระยะเวลาการลงทุนเดิมได้
9. เฉพาะกรณีที่นักลงทุนเสียชีวิต หรือทุพพลภาพเท่านั้น จึงจะไม่ถือว่าผิดเงื่อนไขการลงทุน
ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่นักลงทุนต้องทำการศึกษาเงื่อนไขการลงทุนข้างต้น เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีก่อนการลงทุนใน RMF เสมอ โดยกองทุนรวมประเภทนี้ยังเหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีอาชีพอิสระ หรือลูกจ้างที่ไม่มีระบบบำเหน็จบำนาญรองรับ หรือลูกจ้างที่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญอยู่แล้ว แต่ต้องการที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มวงเงิน 300,000 บาทต่อปีด้วย