เมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว (คศ.1951) ยูนิแวค (UNIVAC-Universal Automatic Computer) เป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ประสบผลสำเร็จในการขาย ยูนิแวค ทำงานโดยใช้หลอดสูญญากาศเป็นหน่วยความจำ และรักษาข้อมูลไว้ในเทปแม่เหล็ก (magnetic tape) ในปี คศ.1953 คอมพิวเตอร์ระดับเมนเฟรม (mainframe) เครื่องแรกของบริษัทไอบีเอ็ม (IBM - International Business Machines) ก็เริ่มเข้าสู่ตลาด การพัฒนาคอมพิวเตอร์ได้เปลี่ยนคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานเพียงอย่างเดียว (single purpose) มาเป็นคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลายตั้งแต่งานคำนวณจนถึงงานพิมพ์การจัดการฐานข้อมูล (general purpose) แต่คอมพิวเตอร์ก็ยังมีขนาดใหญ่ ทำให้จำเป็นต้องมีการพัฒนาหน่วยความจำของเครื่อง ซึ่งมีการพัฒนามาตั้งแต่ปี คศ.1949 โดยใช้หน่วยความจำชนิดแกนแม่เหล็ก (Core or Magnetic Memory) มาแทนที่หลอดสูญญากาศ และในปี 1956 คอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ใช้หน่วยความจำแม่เหล็กก็ได้เกิดขึ้น มีชื่อว่า RAMAC
และนับตั้งแต่ปี คศ.1958 สิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า วงจรรวมหรือไอซี (IC-Integrated Circuit) มีผลทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน เราสามารถมีคอมพิวเตอร์ขนาดฝ่ามือใช้กันแล้ว การลดขนาดของคอมพิวเตอร์ (downsizing) ไม่ได้ใช้เวลาชั่วข้ามคืนเดียว ในทศวรรษที่ 5 เรามีแต่คอมพิวเตอร์ระดับเมนเฟรม (mainframe) จนกระทั่งถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 6 เราก็มีคอมพิวเตอร์ที่เล็กลงมาหน่อย แต่ได้รับการออกแบบเหมือนกับเมนเฟรม เรียกว่า มินิคอมพิวเตอร์ บริษัท DEC (Digital Equipment Corporation) เป็นบริษัทผู้นำทางด้านมินิคอมพิวเตอร์ มินิคอมพิวเตอร์รุ่นแรก (ปี คศ.1963) คือ PDP-8 "Programmed Data Processor"
ในช่วงทศวรรษที่ 7 การพัฒนาเทคโนโลยีไอซีเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดก็ได้มีการสร้างไมโครโปรเซสเซอร์ ที่มีขนาดน้อยกว่าหนึ่งตารางนิ้วมาเป็นหน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู (CPU-Central Processing Unit) ทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงไปอีก และนี่ก็คือที่มาของไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า พีซี (PC-Personal Computer)
การพัฒนาชิปซีพียูเริ่มจากสถาปัตยกรรม 4 บิต ความเร็วของสัญญาณนาฬิกา 0.4 เมกกะเฮิรตช์ (MHz) ซึ่งผลิตขึ้นเมื่อปี คศ.1971 มาเป็น 8, 16, 32 บิต และจนกระทั่งถึงปีปัจจุบัน (1993) เรามีชิพเพนเทียม (Pentium) ขนาด 64 บิต ความเร็วของสัญญาณนาฬิกา 60 MHz ซึ่งทำให้คอมพิวเตอร์ระดับพีซีทำงานได้เร็วขึ้นมากสามารถจัดการกับงานทางด้านกราฟิกระดับสูงได้อย่างสบาย ๆ หากย้อนหลังไปอีกนิดหนึ่งงานทางด้านกราฟิกนั้นมักจะรันบนเครื่องระดับเวอร์กสเตชัน (workstation) เท่านั้น
ไม่เพียงแต่สมรรถนะการทำงานของคอมพิวเตอร์ระดับพีซีจะได้รับการพัฒนาสูงขึ้น แต่รูปร่างหน้าตาของมันก็ได้รับการพัฒนาด้วย โดยมีขนาดเล็กลง และน้ำหนักเบา และนี่ก็คือที่มาของคำว่า เดสก์ท็อป (desktop), แล็ปท็อป (laptop) และ โน้ตบุ๊ค (notebook)
คอมพิวเตอร์ (Computer)
เป็นเครื่องมือคำนวณหรือสมองกลที่ได้รับการออกแบบให้สามารถเก็บรักษาข้อมูลประมวลผลข้อมูล และสร้างผลลัพธ์ให้ได้ตามที่ต้องการโดยอัตโนมัติ ภายใต้ชุดคำสั่งที่เรียงตามลำดับของโปรแกรม ระบบการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์จึงต้องประกอบขึ้นด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ทางด้านฮาร์ดแวร์ประกอบขึ้นด้วยหน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจำ และอุปกรณ์/แสดงผลข้อมูลส่วนซอฟต์แวร์ก็คือ ชุดคำสั่งสำหรับสั่งงานสำหรับสั่งงาน
ปัจจุบันการพัฒนาทางเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก ฉะนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราซื้ออาจจะตกรุ่นได้หลังจากซื้อมาเพียงไม่กี่เดือน
เมนเฟรม (Mainframe)
เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ สามารถประมวลผลได้ด้วยความเร็วสูงเก็บข้อมูลได้มาก อุปกรณ์สนับสนุนก็มาก เช่น ตู้เทป ตู้จานแม่เหล็ก เครื่องพิมพ์อย่างละหลาย ๆ เครื่อง การทำงานต้องใช้กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องหรือโอเปอเรเตอร์ผู้ใช้จะต้องติดต่อผ่านโอเปอเรเตอร์หรือใช้เทอร์มินอลที่จัดไว้ให้เท่านั้น
ปัจจุบันเมนเฟรมถูกมองว่าเป็นไดโนเสาร์ของวงการอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้เป็นเพราะระบบเมนเฟรมมีราคาค่อนข้างสูง ต้องอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิเย็น เปลืองที่และเปลืองไฟ
มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer)
เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลงมาหน่อย ยังคงมีลักษณะคล้ายเมนเฟรม แต่ขีดความสามารถและอุปกรณ์สนับสนุนจะน้อยกว่า การใช้งานยังคงต้องมีโอเปอเรเตอร์หรือจัดเทอร์มินอลให้สำหรับผู้ใช้ ขนาดของมินิคอมพิวเตอร์มีได้ตั้งแต่ขนาดตั้งโต๊ะจนถึงขนาดตู้เอกสารขนาดเล็ก
ปัจจุบันมีการพัฒนามินิคอมพิวเตอร์ให้มีขีดความสามารถใกล้เคียงหรือทัดเทียมกับเมนเฟรม แต่ราคายังคงต่ำกว่า
ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer)
เป็นคำที่ใช้เรียกคอมพิวเตอร์ในช่วงกลางทศวรรษที่ 7 คำว่า "ไมโคร" มาจากคำว่า "ไมโครโปรเซสเซอร์" ซึ่งเป็นชิพ (chip) เล็ก ๆ ทำหน้าที่เป็นซีพียูหรือสมองของคอมพิวเตอร์
ไมโครคอมพิวเตอร์จึงเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กและราคาต่ำ แต่ก็สามารถทำงานได้ไม่แพ้ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่า
ปัจจุบันเรามักจะเรียกไมโครคอมพิวเตอร์ว่า พีซี (PC-Personal Computer) นับตั้งแต่พีซีกลายมาเป็นดาวรุ่งในช่วงกลางของทศวรรษที่ 8 (ดูความหมายเพิ่มเติมจากศัพท์คำว่าพีซี)
พีซี (PC)
เป็นตัวย่อของ Personal Computer หมายภึงคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่สามารถใช้งานได้ทันทที (stand-alone) โดยผู้ใช้เพียงคนเดียว มีขนาดเล็กสามารถวางไว้บนโต๊ะได้ พีซี ยังหมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ระดับไมโคร
ปัจจุบันพีซีมีความสามารถสูงขึ้นสามารถรันโปรแกรมที่เคยรันบนเวอร์กสเตชันได้ (ดูความหมายเพิ่มเติมจาก workstation)
พีซีชนิดเดสก์ท็อป (Desktop PC)
เป็นชนิดของคอมพิวเตอร์ที่ไม่หนักจนเกินไป สามารถเคลื่อนย้ายได้มีขนาดเล็กใช้เนื้อที่เกินครึ่งของโต๊ะขนาดปกติ
พีซีชนิดพอร์ตเทเบิล (Portable PC)
เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดย่อมที่เราสามารถพกพาติดตัวคล้ายกระเป๋าเดินทาง บริษัทคอมแพ็ค (Compaq) เป็นบริษัทแรกที่สร้างพีซีชนิดพอททะเบิล มีน้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม
แล็ปท็อป (Laptop)
เป็นคอมพิวเตอร์ที่เข้ามาแทนพีซีชนิดพอททะเบิล เนื่องจากรูปร่างบอบบางกว่า มีน้ำหนักไม่เกิด 5 กิโลกรัม พอที่จะวางไว้บนตักของเรา และทำงานได้อย่างสบาย ๆ
คอมพิวเตอร์ชนิดโน๊ตบุ๊ค (Notebook computer)
เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดย่อม มีขนาดเท่ากับหนังสือตำราหรือแฟ้มเอกสารสำหรับกระดาษขนาดไม่เกิด A4 น้ำหนักของเครื่องจะอยู่ระหว่าง 15-25 กิโลกรัม เหมาะสำหรับพกพาเพื่อทำงานขณะเดินทาง หรือใช้ทำงานเมื่ออยู่นอกสถานที่สามารถใช้ได้กับไฟกระแสตรง (ดีซี-DC) และไฟกระแสสลับ (เอซี-AC)
เวอร์กสเตชัน (Workstation)
เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงคอมพิวเตอร์ที่มีขีดความสามารถสูง มักจะใช้จัดการกับงานประยุกต์ทางด้านวิทยาศาสตร์, งานวิศวกรรม เช่น งานทางด้านออกแบบ CAD (Computer-Aided Design) และงานทางด้านกราฟิก จอภาพของเวอร์กสเตชันจะต้องมีความละเอียดสูง (high-resolution) ขนาดของหน่วยความจำหลักจะมีมากกว่าคอมพิวเตอร์ระดับพีซีตั้งแต่ 4-250 เท่า โปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบ มักจะใช้ยูนิกซ์
บิต (Bit)
เป็นตัวย่อของคำว่า "Binary Digit" มีค่าได้เพียง "1" หรือ "0" คำว่า "บิต& quot;มักจะใช้วัดความสามารถของไมโครโปรเซสเซอร์ในการประมวลผลข้อมูล เช่น 16 บิต, 32 บิต
ส่งท้าย
คำศัพท์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ที่ได้นำเสนอในบทความนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคำศัพท์เบื้องต้น ซึ่งมีความจำเป็นที่นักคอมพิวเตอร์ทุกคนจะต้องทราบกันทั้งสิ้น คาดว่าจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านอย่างแน่นอน
ที่มาของข้อมูล : วารสารคอมพิวเตอร์ยูสเซอร์ เล่มที่ 1 หน้า 131