กลไกการทำงานของตลาดอนุพันธ์ (ตอนที่ 1)
โดย ดร. ธนัยวงศ์ กีรติวานิชย์
อาจารย์ประจำภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
สำหรับบทความตอนนี้จะได้กล่าวถึงกลไกการทำงานของตลาดอนุพันธ์ซึ่งเป็นศูนย์กลางการซื้อขายสินทรัพย์ล่วงหน้า โดยในที่นี้ผมจะขอยกตัวอย่างอ้างอิงจากตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET ซึ่งในเดือนพฤษภาคม 2549 มีผลิตภัณฑ์สำหรับซื้อขายในตลาดล่วงหน้าแห่งนี้รวมทั้งสิ้น 5 ชนิด ได้แก่ ยางแผ่นรมควันชั้น 3 (Ribbed Smoked Rubber No. 3) ข้าวขาว 5% (White Rice 5%) แป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (Tapioca Starch Premium Grade) ยางแท่งเอสทีอาร์ 20 (Standard Thai Rubber 20) และน้ำยางข้น (Concentrated Latex) ซึ่งผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดข้างต้นจะมีข้อกำหนดการซื้อขายล่วงหน้า (Contract Specification) แตกต่างกันไป ทั้งนี้ ผมขออธิบายในรายละเอียดเกี่ยวกับข้อกำหนดการซื้อขายล่วงหน้าโดยยกตัวอย่างจากฟิวเจอร์สยางแผ่นรมควันชั้น 3 ดังแสดงในตารางด้านล่างละกันครับ
ตารางแสดงข้อกำหนดการซื้อขายล่วงหน้าของยางแผ่นรมควันชั้น 3
1. คุณภาพสินค้าที่ส่งมอบ |
ตามมาตรฐาน Green Book |
2. หน่วยการซื้อขาย |
หนึ่งหน่วยการซื้อขายเท่ากับ 5,000 กิโลกรัม |
3. วิธีการซื้อขาย |
ระบบคอมพิวเตอร์ที่จับคู่คำสั่งซื้อขายอย่างต่อเนื่อง |
4. ราคาซื้อขาย |
บาทต่อกิโลกรัม |
5. ช่วงราคา |
10 สตางค์ต่อ 1 กิโลกรัม |
6. อัตราการขึ้นลงของราคาสูงสุดประจำวัน |
3.10 บาทต่อกิโลกรัม |
7. จำนวนการถือครองข้อตกลง |
ไม่เกิน 500 หน่วยการซื้อขายสำหรับทุกเดือนรวมกัน และต้องไม่เกิน 100 หน่วยการซื้อขายในเดือนที่ส่งมอบ |
8. อัตราเงินประกันสำหรับเดือนที่ยังไม่ครบกำหนดส่งมอบ |
เงินประกันขั้นต้นเท่ากับ 21,600 บาท และเงินประกันขั้นต่ำเท่ากับ 16,200 บาท |
9. วันซื้อขายสุดท้าย |
วันทำการที่ 3 ก่อนวันทำการแรกของเดือนส่งมอบ |
10. เดือนที่ครบกำหนดส่งมอบ |
ทุกเดือนติดต่อกัน แต่ไม่เกิน 6 เดือน |
11. วันส่งมอบสุดท้าย |
วันทำการสุดท้ายของเดือนส่งมอบ |
12. หน่วยการส่งมอบ |
หนึ่งหน่วยการส่งมอบเท่ากับ 20,000 กิโลกรัม |
13. อัตราเงินประกันสำหรับเดือนที่ครบกำหนดส่งมอบ |
เงินประกันขั้นต้นเท่ากับ 141,400 บาท และเงินประกันขั้นต่ำเท่ากับ 106,300 บาท |
14. วิธีการ และเงื่อนไขการส่งมอบ |
ส่งมอบ ณ ท่าเรือกรุงเทพ หรือท่าเรือแหลมฉบัง ตามเงื่อนไข FOB |
ข้อมูลจากตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย: www.afet.or.th (เดือนพฤษภาคม 2549)
สังเกตได้ว่าตลาด AFET มีการกำหนดมาตรฐานที่จำเป็นสำหรับการซื้อขายล่วงหน้าขึ้น เริ่มตั้งแต่คุณภาพของสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งในที่นี้ ก็คือ ยางแผ่นรมควันชั้น 3 ก็ต้องเป็นไปตาม Green Book หรือหนังสือข้อกำหนดมาตรฐานสากลของยางพาราที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ตลอดจนต้องผลิต หรือส่งมอบจากโรงงานที่ตลาดรับรองด้วย โดยขนาดของยางแผ่นรมควันชั้น 3 ต่อหนึ่งหน่วยการซื้อขายที่ถูกกำหนดขึ้นนั้นเท่ากับ 5,000 กิโลกรัม หรือ 5 เมตริกตัน ทั้งนี้ การที่จะเข้ามาซื้อขายในตลาดได้นั้น ทั้งผู้ซื้อ และผู้ขายต้องทำการเปิดบัญชีวงเงินประกันกับทางบริษัทนายหน้าที่เป็นสมาชิกของตลาดเสียก่อน ซึ่งแน่นอนว่า การใช้บริการจากบริษัทนายหน้านั้นย่อมมีต้นทุนเกิดขึ้นด้วยทุกครั้งที่มีการส่งคำสั่งซื้อ หรือคำสั่งขาย โดยบริษัทนายหน้าจะคิดค่าธรรมเนียมประมาณ 0.05 ถึง 0.25% ของมูลค่าสัญญาที่ทำการซื้อ หรือขายในแต่ละครั้ง หลังจากนั้นเมื่อมีการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านบริษัทนายหน้าต่อไปยังระบบคอมพิวเตอร์ของตลาด ระบบก็จะทำการจับคู่คำสั่งซื้อขายที่ถูกส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง (Computerized Continuous Trading) พร้อมทั้งยืนยันผลการจับคู่กลับไปยังบริษัทนายหน้าเพื่อให้แจ้งแก่ลูกค้าของตนทราบในที่สุด โดยทั้งผู้ซื้อ และผู้ขายจะทราบเพียงแต่จำนวนสัญญา และราคาที่ซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงกันเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างยังไม่รู้จักหน้าค่าตากันในขั้นตอนนี้ครับ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการซื้อขายฟิวเจอร์สเป็นการที่ผู้ซื้อ หรือผู้ขายเข้าไปอยู่ในฐานะรอเพื่อซื้อ หรือขายสินทรัพย์อ้างอิงนั้นในอนาคต สถานะของธุรกรรมที่เกิดขึ้นนั้นจึงยังไม่ใช่การซื้อขายจริง หากแต่เป็นการเปิดสถานะจากคำสั่งซื้อขายในปัจจุบันเพื่อรอทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริงในอนาคต ดังนั้น ในวันแรกที่เริ่มทำการซื้อขายกันนั้น ไม่ว่าผู้ซื้อ หรือผู้ขายต่างไม่จำเป็นต้องเตรียมเงินเพื่อจ่ายค่าสินทรัพย์อ้างอิง หรือมีสินทรัพย์นั้นเพื่อเตรียมส่งมอบแต่อย่างใด และได้มีการพัฒนาศัพท์เฉพาะที่ใช้สำหรับการซื้อขายฟิวเจอร์สขึ้น โดยจะเรียกผู้ซื้อ หรือคู่สัญญาที่อยู่ในฐานะรอซื้ออยู่ว่า Long Position และเรียกผู้ขาย หรือคู่สัญญาที่อยู่ในฐานะรอขายอยู่ว่า Short Position
สำหรับราคาซื้อขาย หรือราคาล่วงหน้า (Futures Price) ที่ตลาดกำหนดขึ้นนั้นจะมีหน่วยเป็นบาทต่อกิโลกรัม โดยมีการกำหนดอัตราการขึ้นลงของราคา หรือช่วงราคาอยู่ที่ 10 สตางค์ต่อ 1 กิโลกรัม ยกตัวอย่างเช่น หากราคาซื้อขายของฟิวเจอร์สยางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ 85 บาทต่อกิโลกรัม และมีผู้ซื้อ หรือผู้ขายต้องการเสนอราคาซื้อขายที่แตกต่างไปจากราคาข้างต้น ก็ต้องทำการเสนอราคาในลักษณะเพิ่มขึ้น หรือลดลงทีละ 10 สตางค์ต่อกิโลกรัม เช่น ที่ 85.10 บาท หรือ 84.90 บาท เป็นต้น หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าเป็นการเสนอราคาซื้อขายในลักษณะทวีคูณของ 10 สตางค์ก็ได้ อย่างไรก็ตาม มีประเด็นสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติม ก็คือ ราคาซื้อขายของฟิวเจอร์สที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น ไม่ได้เป็นราคาของตัวฟิวเจอร์สเอง หากแต่เป็นราคาของสินทรัพย์อ้างอิงที่ทำการซื้อขายนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนทำธุรกรรมซื้อฟิวเจอร์ส ยางแผ่นรมควันชั้น 3 ที่มีกำหนดส่งมอบอีก 1 เดือนข้างหน้าที่ราคา 85 บาทต่อกิโลกรัม ไม่ได้หมายความว่า ตัวฟิวเจอร์ส ของยางแผ่นรมควันชั้น 3 เองมีราคา 85 บาทต่อกิโลกรัมแต่อย่างใด หากแต่เป็นการที่นักลงทุนตกลงเข้าเป็นคู่สัญญาเพื่อซื้อยางแผ่นรมควันชั้น 3 ที่ราคา 85 บาทต่อกิโลกรัมในเดือนหน้า
นอกจากนี้ ตลาด AFET ยังได้กำหนดให้มีอัตราการขึ้นลงของราคาสูงสุด (Price Ceiling and Floor) ในแต่ละวันอยู่ที่ 3.20 บาทต่อกิโลกรัม ยกตัวอย่างเช่น หากราคาปิดในวันก่อนหน้าของสัญญาล่วงหน้ายางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ 85 บาทต่อกิโลกรัม ราคาของสัญญาในวันนี้จะเพิ่มขึ้นสูงสุดได้แค่ 88.20 บาทต่อกิโลกรัม และลดลงได้ต่ำสุดเพียง 81.80 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น โดยอัตราดังกล่าวข้างต้นยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามหลักเกณฑ์การปรับอัตราขึ้นลงของราคาสูงสุดประจำวันซึ่งถูกกำหนดขึ้นโดยตลาดอีกด้วย นอกจากนี้ ยังได้มีการกำหนดจำนวนการถือครองสัญญาขึ้น (Position Limits) โดยไม่ว่าผู้ซื้อ หรือผู้ขายสามารถถือครองฟิวเจอร์สได้ไม่เกิน 500 หน่วยการซื้อขายสำหรับทุกเดือนรวมกัน และต้องไม่เกิน 100 หน่วยการซื้อขายในเดือนที่ส่งมอบ อย่างไรก็ตาม สำหรับ Hedgers หรือผู้ประกันความเสี่ยง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของราคาเป็นหลัก สามารถขออนุญาตจากตลาดในการถือครองได้มากกว่าข้อกำหนดข้างต้น ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องมีการกำหนดทั้งอัตราการขึ้นลงของราคาสูงสุด และจำนวนการถือครองสัญญาดังกล่าวข้างต้น ก็เพื่อป้องกันการสร้างราคา หรือการเก็งกำไรที่เกินควรนั่นเอง
และทุกครั้งที่มีการจับคู่คำสั่งซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อ หรือผู้ขายต่างก็ต้องทำการส่งมอบเงินประกันขั้นต้น (Initial Margin)ให้แก่บริษัทนายหน้าที่ตนได้เปิดบัญชีไว้ โดยจะมีการปรับมูลค่าวงเงินประกันตามราคาตลาดของสัญญาทุกสิ้นวันทำการ ทีนี้หากมูลค่าของสัญญาตามราคาตลาดลดลงต่ำกว่าระดับวงเงินประกันขั้นต่ำ (Maintenance Margin) ที่กำหนดขึ้นเพื่อรักษาสภาพไว้ บริษัทนายหน้าก็จะทำการเรียกเก็บเงินเพิ่มในบัญชีวงเงินประกัน (Margin Call) เพื่อให้คุ้มกับมูลค่าที่ลดหายไป ถือว่าเป็นการช่วยป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความน่าเชื่อถือของทั้งผู้ซื้อ และผู้ขายในการปฎิบัติตามสัญญานั่นเอง โดยเงินประกันขั้นต้น และเงินประกันขั้นต่ำที่ถูกกำหนดไว้สำหรับฟิวเจอร์สยางแผ่นรมควันชั้น 3 สำหรับเดือนที่ยังไม่ครบกำหนดส่งมอบก็คือ 21,600 บาท และ 16,200 บาท ตามลำดับ
ทั้งนี้ การซื้อขายฟิวเจอร์สของยางแผ่นรมควันชั้น 3 สามารถกระทำได้ทุกวันทำการ โดยแบ่งออกเป็นรอบเช้าตั้งแต่ 10.00 น. ถึง 12.00 น. และรอบบ่ายตั้งแต่ 13.00 น. จนถึง 15.00 น. สำหรับวันทำการซื้อขายสุดท้ายของแต่ละสัญญา ก็คือ วันทำการที่ 3 ก่อนวันทำการแรกของเดือนที่ส่งมอบ ยกตัวอย่างเช่น ฟิวเจอร์สของยางแผ่นรมควันชั้น 3 ที่มีกำหนดส่งมอบในเดือนมิถุนายนหน้า หากสมมติให้วันทำการแรกของเดือนที่ส่งมอบนี้คือ วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน วันทำการซื้อขายสุดท้ายของฟิวเจอร์สดังกล่าวข้างต้นก็จะเป็นวันจันทร์ที่ 29 ในเดือนพฤษภาคมก่อนหน้า สำหรับการส่งมอบฟิวเจอร์สของยางแผ่นรมควันชั้น 3 ในตลาดนั้นจะกระทำทุกๆ เดือนติดต่อกัน โดยมีกำหนดระยะเวลาส่งมอบในอนาคตไว้สูงสุดไม่เกิน 6 เดือน นอกจากนี้ ตลาดยังกำหนดให้หนึ่งหน่วยการส่งมอบเท่ากับ 20,000 กิโลกรัม หรือ 20 เมตริกตัน และกำหนดให้วันส่งมอบสุดท้าย คือ วันทำการสุดท้ายของเดือนที่ส่งมอบ ซึ่งหากพิจารณาจากตัวอย่างฟิวเจอร์สข้างต้น วันส่งมอบสุดท้าย ก็คือ วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายนนั่นเองครับ นอกจากนี้ในเดือนที่ครบกำหนดส่งมอบ ทั้งผู้ซื้อ และผู้ขายต่างก็ต้องวางเงินเพิ่มเติมเพื่อเป็นหลักประกัน โดยตลาดกำหนดเงินประกันขั้นต้น และเงินประกันขั้นต่ำไว้เท่ากับ 141,400 บาท และ 106,300 บาท ตามลำดับ
เมื่อใกล้วันที่ครบกำหนดส่งมอบ ตลาดจะดำเนินการสอบถามทั้งบริษัทนายหน้าของผู้ซื้อ และผู้ขายถึงความพร้อมในการส่งมอบรับมอบ ตลอดจนความสามารถในการชำระเงินค่าสินทรัพย์อ้างอิง โดยการส่งมอบรับมอบดังกล่าวข้างต้นจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับว่าราคาล่วงหน้าในขณะนั้นเป็นไปตามที่ผู้ซื้อ หรือผู้ขายคาดการณ์ไว้หรือไม่ ทั้งนี้ ผู้ซื้อย่อมต้องการที่จะได้รับมอบสินทรัพย์อ้างอิงจริง หากราคาล่วงหน้าสูงกว่าราคาตลาด และคุ้มกับต้นทุนต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการรับมอบสินทรัพย์นั้น ในทางกลับกัน ผู้ขายจะมีความต้องการส่งมอบสินทรัพย์อ้างอิงนั้น ก็ต่อเมื่อราคาตลาดสูงว่าราคาล่วงหน้า และคุ้มกับต้นทุนต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการส่งมอบสินทรัพย์นั้น
เมื่อทั้งสองฝ่ายแจ้งความประสงค์ในการส่งมอบรับมอบแก่ตลาดแล้ว ตลาดก็จะดำเนินการแจ้งรายชื่อของคู่สัญญาให้แก่บริษัทนายหน้าทราบเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายติดต่อทำความเข้าใจกันถึงรายละเอียดของการส่งมอบรับมอบสินทรัพย์อ้างอิงนั้น สำหรับฟิวเจอร์สของยางแผ่นรมควันชั้น 3 การส่งมอบจะเป็นไปตามเงื่อนไข FOB (Free on Board) โดยส่งมอบ ณ ท่าเรือกรุงเทพ หรือท่าเรือแหลมฉบัง นอกจากนี้หากเป็นการส่งออก ผู้ขายยังต้องรับผิดชอบดำเนินการในเรื่องพิธีการศุลกากร ตลอดจนการเสียภาษีส่งออก โดยจะหมดภาระก็ต่อเมื่อได้นำยางแผ่นรมควันชั้น 3 ไปส่งมอบไว้ในเรือเดินทะเล ณ ท่าเรือตามที่ได้ระบุไว้ในข้อกำหนดการซื้อขายล่วงหน้าแล้วนั่นเอง
สำหรับในตอนต่อไปนั้น ผมจะอธิบายให้เห็นถึงวิธีการส่งคำสั่งซื้อขาย ตลอดจนขั้นตอนการวางเงินเพื่อเป็นประกัน และการปิดสถานะของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายนอกเหนือจากการส่งมอบรับมอบจริงดังที่กล่าวถึงในบทความตอนนี้ครับ