ค้นบ่อย
:
หางานบัญชี,
หางานธุรการ,
หางานจัดซื้อ,
หางานผู้จัดการ,
หางานขับรถ,
หางานบุคคล,
หางานคลังสินค้า,
หางานครู,
หางานวิศวกร,
หางานเขียนแบบ,
หางานคีย์ข้อมูล,
หางานการตลาด,
หางานโรงแรม,
หางานสิ่งแวดล้อม,
หางานคอมพิวเตอร์,
หางาน Programmer,
หางานประชาสัมพันธ์,
หางานช่าง,
หางานสถาปนิก |
เรื่อง
พิษร้ายจากการสันดาป
เขียนโดย อัครพล
|
Rated:
by 15 users |
|
|
|
|
|
[ ขยายดูภาพใหญ่ ]
|
การสันดาปส่วนใหญ่จะมีผลิตผลนอกเหนือจากคาร์บอนไดออกไซด์และไอน้ำ เพราะสาเหตุหลายประการ คือ
ก. เชื้อเพลิงมีสารเจือใน เช่น มีซัลเฟอร์ปนเปื้อนในน้ำมันดิบหรือถ่านหินอยู่ตามธรรมชาติในบางกรณีผู้ผลิตมีเจตนาเติมสารบางอย่างลงในเชื้อเพลิงwbr>wbr>w>br>w เช่น การเติมตะกั่วอินทรีย์ลงในน้ำมันเบนซินเพื่อเพิ่มออกแทนสำหรับเครื่องยนต์ ดังนั้นจึงเกิดสารประกอบซัลเฟอร์ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เมื่อใช้ถ่านหินหรือน้ำมันเตา และมีตะกั่วออกไซด์ ซัลเฟตและคาร์บอเนตระบายออกสู่บรรยากาศจากท่อไอเสียของรถยนต์ซึ่งใช้น้ำมันเบนซินแบบพิเศษ
ข. ลักษณะเฉพาะของการสันดาป ยายนต์ทั่วไปใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (internal combustion engine) ในทางวิชาการอาจจำแนกเป็นเครื่องยนต์แบบสี่จังหวะ ซึ่งนิยมใช้ในรถยนต์ทั่วไป และเครื่องยนต์แบบสองจังหวะในรถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่ในประเทศไทย หรือจำแนกเป็นเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งรถบรรทุกและรถโดยสารส่วนใหญ่นิยมใช้ และเครื่องยนต์แบบใช้น้ำมันเบนซินในรถยนต์นั่งต่างๆ เครื่องยนต์เหล่านี้มีการจุดระเบิดภายใต้ความกดดันซึ่งสูงพอเหมาะ จึงก่อให้เกิดพลังงานมากเพียงพอในการขับเคลื่อนยานพาหนะตามเส้นทางคมนาคมทางบก น้ำและ อากาศ ตามต้องการ
ค.การสันดาปที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ น้ำมันดิบ และเขม่าควันซึ่งประกอบไปด้วยเถ้าถ่านและเชื้อเพลิงตกค้าง เป็นต้น
นอกจากนี้มลพิษในอากาศยังเกิดจากกระบวนการผลิตต่างๆ ในการอุตสาหกรรม เช่น การทำเหมืองถ่านลิกไนต์ การเปิดหน้าดินตลอดจนการขนถ่ายดินและถ่านลิกไนต์ ทำให้มีฝุ่นละอองฟุ้งในบริเวณใกล้เคียง หากสูดหายใจเข้าไปจะเป็นสาเหตุให้ถุงลมในปอดถูกอุดตันด้วยละอองหินเรียกว่า โรคซิลิโคซีส การถลุงเศษเหล็กในโรงงานซึ่งใช้เตาหลอมไฟฟ้านอกจากจะเกิดควันและก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์แล้ว อุณหภูมิในขณะที่เกิดประกายไฟจ้าระหว่างขั้วนั้น ต้องสูงพอที่จะทำให้เหล็กหลอมละลาย (เกินกว่า 1,300 องศาเซลเซียส) และย่อมก่อให้เกิดก๊าซไนทริกออกไซด์เช่นเดียวกันกับเครื่องยนต์แบบสันดาปภายในดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น |
|
[ ขยายดูภาพใหญ่ ]
|
การเปลี่ยนแปลงรูปของสารมลพิษอาจเกิดขึ้นฉับพลันทันทีในที่ซึ่งมีการสันดาปหรือกระบวนการใดๆ ก็ได้ เช่นตะกั่วอินทรีย์ในน้ำมันเบนซินแตกตัวระหว่างการสันดาปในเครื่องยนต์และกลายรูปเป็นตะกั่วอนินทรีย์ เช่น ตะกั่วออกไซด์ ซัลเฟตและคาร์บอเนต เป็นต้น หรือการที่ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และ ไนทริกออกไซด์จากเครื่องยนต์เกิดปฏิกิริยาเติมออกซิเจน กลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ในสถานการณ์ที่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว แต่บางครั้งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจทิ้งระยะเนิ่นนาน
ในหลายกรณีจึงปรากฏผลไปไกลจนข้ามพรมแดนได้ เช่น การเกิดกรดกำมะถันและกรดไนทริก และรวมตัวกับไอน้ำในอากาศกลายเป็นฝนกรด หรือกลับสู่พื้นดินเองก็ได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในระดับกว้างไกลกว่านั้น เช่นการใช้ก๊าซเฉื่อยบางชนิด เช่น ฟรีออน (คลอโรฟลูออโรคาร์บอน) การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในบรรยากาศชั้นสูง เมื่อก๊าซเฉื่อยนั้นกระทบรังสีอัตราไวโอเลตจึงแตกตัว แล้วเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการทำลายโอโซน ในบรรยากาศระดับสูง โอโซนเกิดขึ้นตามธรรมชาติและไม่จัดว่าเป็นมลพิษ มีหน้าที่คุ้มครองโลกมิให้รับรังสีอัลตราไวโอเลตในส่วนที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ดังนั้นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในระดับนี้จึงดูเสมือนว่าจะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางตามไปด้วย และก่อให้เกิดปริวิตกทั่วโลก |
|
[ ขยายดูภาพใหญ่ ]
|
อย่างไรก็ตามมลพิษทางอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยได้หลายประการ ระบบทางเดินหายใจเป็นส่วนแรกที่สัมผัสกับมลพิษและรับผลโดยตรง สารมลพิษหลายอย่างทำให้เนื้อเยื่อของอวัยวะเกิดระคายเคืองเนื่องจากขนาดหรือรูปร่างประกอบกับสมบัติทางเคมีซึ่งอาจเสริมพิษwbr>wbr>wb>rbr>br>>wbbr>br>>rระบบป้องกันของร่างกายเข้าสู่ชั้นในสุด คือ ถุงลมในปอด ส่วนที่มีขนาดใหญ่เกินไปถูกจับและขับออกจากร่างกายตั้งแต่ต้น สมรรถนะของระบบหายใจจึงอาจลดและเสื่อมลงมากน้อยเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของฝุ่น
ผลต่อผู้สูดหายใจเอาสารมลพิษเข้าไป จึงมีอย่างสลับซับซ้อน ทั้งยังอาจเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลันทันที หรือค่อยสะสมทีละเล็กทีละน้อย แล้วจึงปรากฏอาการในภายหลัง นอกจากนี้คนบางกลุ่มยังรับอันตรายเร็วและมากกว่าคนทั่วไปเป็นพิเศษอีกด้วย ดังเช่นในกรณีวิกฤติการณ์ในกรุงลอนดอนในปี ค.ศ.1952 และ 1962 (พ.ศ.2495 และ 2505) นั้น เชื่อกันว่าสม็อกและก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ปกคลุมกรุงลอนดอนอยู่อย่างหนาทึบ เป็นเวลา 5 วัน เป็นเหตุให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวน 4,000 คน และ 340 คนตามลำดับส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ เด็กและผู้เป็นโรคทางเดินหายใจ ปศุสัตว์ต่างๆ ในบริเวณนั้นก็ได้รับผลเช่นเดียวกัน
ความผิดปกติในร่างกายเมื่อรับสารมลพิษบางอย่างเห็นได้ชัดในระยะเวลาอันสั้นกล่าวคือคนและสัตว์แสดงอาการสนองตอบต่อก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์อย่างฉับพลัน เพราะทำให้ร่างกายขาดอากาศ เหตุนี้เกิดขึ้นได้หลายทางด้วยกัน
ประการแรกก๊าซนี้จับตัวกับเม็ดเลือดแดงได้ดีกว่าออกซิเจน ดังนั้นนอกจากออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้น้อยลงแล้ว เมื่อเม็ดเลือดแดงซึ่งมีออกซิเจนไปถึงที่ กลับไม่แยกตัวออกจากกันได้ดีเหมือนเช่นเคยการจับตัวแน่นแฟ้นกว่าเดิมเป็นผลจากมลพิษ จึงทำให้อวัยวะนั้นได้รับออกซิเจนจำกัดมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุที่สมองเป็นอวัยวะซึ่งไวต่อการขาดออกซิเจนมากที่สุด ดังนั้นจึงเกิดผลต่อระบบประสาทรวมอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่สามารถควบคุมตนให้ระมัดระวังและทำงานประณีตได้ รู้สึกปวดศีรษะเพิ่มมากขึ้น วิงเวียนคลื่นเหียนอาเจียน รู้สึกเปลี้ย หมดสติ ชัก และถึงตายหากได้รับมลพิษนี้มากถึงขนาด |
|
[ ขยายดูภาพใหญ่ ]
|
สิ่งมีชีวิตเช่นพืชก็ได้รับผลจากมลพิษทางอากาศได้ 2 ลักษณะเช่นกันคือ เฉียบพลันและเรื้อรัง ในลักษณะหลังอาจจำแนกอาการของโรคพืชออกจากสาเหตุอื่น ๆ ได้ยาก สารมลพิษเข้าสู่พืชทางรูใบซึ่งเป็นอวัยวะที่ใช้หายใจอาการจะปรากฎอย่างเห็นได้ชัดที่ใบและขึ้นอยู่wbr>wbr>>wbr<wbr>ในอากาศมีสารมลพิษ เช่น ก๊าซโอโซน ซัลเฟอร์ไดออกไวด์ และไนโตรเจนออกไซด์มาก
ผลฉับพลันที่อาจเกิดขึ้นคือใบยุบและเกิดลายเหี่ยวแห้งโดยเฉพาะส่วนขอบหรือยอด แต่ในชั้นแรกอาจจะบวมน้ำหรือช้ำเสียก่อน เม็ดสีของพืชใบเขียวคือคลอโรฟีลล์เป็นอีกส่วนซึ่งได้รับผลสีใบจึงซีดจางลงคล้ายคลึงกับอาการที่พืชขาดอาหารและมีลักษณะแบบเดียวกับคนเป็นโรคโลหิตจาง เมื่อใบซีดลงอาจเกิดสีอื่นๆ ขึ้น ในระยะยาวพืชไม่เติบโต และการแตกตาชะงักงัน อาการนี้อาจปรากฏให้เห็นในรูปใบหรือก้านยาวขึ้น หรือใบงอและร่วง เป็นต้น
ฝุ่นละอองในอากาศจะตกลงจับเกรอะกรังบนส่วนต่างๆ ของพืชโดยเฉพาะใบ ดังนั้นพืชจึงหายใจได้อย่างจำกัดเป็นผลให้การสังเคราะห์แสงลดลง แต่กลับสะสมความร้อนไว้ภายในมากขึ้นจึงมีส่วนเร่งรัดหรือขัดขวางการเจริญเติบโตของพืชก็ได้แล้วแต่ หากฝุ่นนั้นมีสารพิษปะปนอยู่ เช่น โลหะหนัก หรือปูนซีเมนต์ พืชจะได้รับพิษเพิ่มจากสารต่างๆ นั้นอีกด้วย |
|
|
|
|
ความคิดเห็นของคุณกับบทความนี้
...
|
|
|
Knowledge Center |
|
|
knowledge
|
|
|
|
|
|
|
|
|