กี่ครั้งแล้วนะที่เท้าของฉันมักจะพามาสะดุดอยู่หน้าบ้านหลังนี้ พร้อมกับสายตาที่ถูกตรึงให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ต่อสิ่งที่ได้พบเห็น
ทุกๆ เช้าที่ฉันเดินผ่านบ้านหลังนี้ฉันต้องพบกับสายตาฝ้าฟาง แฝงแววเศร้าสร้อยทอดจุดมุ่งหมายออกไปไกลจากรั้วบ้านของตน
. มีบางครั้งที่ฉันสัมผัสได้ถึงแวบหนึ่งของความหวังที่ทอแสงออกมาจากดวงตาคู่นั้น มันแฝงไปด้วยร่องรอยแห่งความสุขเล็ก ๆ เพียงชั่วครู่ แล้วมันก็หม่นเศร้าลงอีกครั้ง
หญิงชราวัยไม้ใกล้ฝั่งนั่งทอดตัวอยู่บนเก้าอี้ไม้ยาวหน้าบ้าน ที่มีลักษณะเป็นทาวเฮ้าส์สองชั้น ดูเหมือนว่าเธอจะมานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น โดยไม่ใส่ใจว่าแดดจะแผดเผาร่างกายสักเพียงใด เสมือนว่านี่จะเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยยึดเหนี่ยวลมหายใจของเธอให้มีอยู่ต่อไปได้ในวันหน้า.
หากจะถามหาความหลังที่ทำให้หญิงชราผู้นี้ต้องมานั่งตาลอยละห้อยหาใครบางคนอยู่บริเวณหน้าบ้านของตน ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่คนบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างฉันจะไม่รู้ความ เกี่ยวกับเรื่องราวของบ้านหลังนี้ ที่เคยเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขสดชื่น จากเด็กชายตัวน้อยที่แสนจะน่ารักและซุกซน
ด้วยภาพของเด็กน้อยที่ถูกทะนุถนอมเลี้ยงดูมาอย่างดี แม้ทางบ้านจะมีฐานะค่อนไปทางยากจน เป็นภาพที่ผู้คนในละแวกนี้ได้พบเห็นจนเจนตาเมื่อเดินผ่าน และมันช่างเป็นภาพที่น่ารักไม่ใช่น้อยสำหรับฉันที่ขาดความรักจากผู้บังเกิดเกล้า จนบางครั้งฉันแอบคิดอิจฉาหนุ่มน้อยผู้นี้มิได้ ที่ได้รับความรักจากผู้เป็นพ่อเป็นแม่อย่างท้วมท้น จนกระทั่งหนุ่มน้อยได้กลายเป็นหนุ่มใหญ่และย่างเข้าสู่วัยเลือดร้อน...ตามประสาลูกคนเดียวที่ถูกพ่อแม่ตามใจ
ส่วนฉันยังคงสอดส่องสายตาไปที่บ้านหลังนี้อยู่บ่อยหน จนได้เห็นภาพที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป พร้อมกับความรู้สึกสะเทือนใจ เมื่อได้เห็นแววตาที่แสนห่วงใยและท่าทีที่เป็นกังวลของผู้เป็นแม่ทุกครั้งที่ลูกชายของเธอสะพายกระเป๋าออกจากบ้าน โดยไม่คิดจะหันมาใส่ใจผู้เป็นบิดรมารดาที่ย่างเข้าสู่วัยที่สังขารร่วงโรยแต่อย่างใด...
แม้เธอจะแว่วข่าวมาว่าลูกชายสุดที่รักของเธออยู่ที่ไหน แต่ด้วยระยะทางที่ยาวไกลบวกกับแรงใจและกายที่อ่อนล้า และสินทรัพย์ที่ไม่ค่อยจะอำนวย ทำให้เธอไม่สามารถทำในสิ่งที่เธออยากทำได้เลย
สำหรับการออกตามหาลูกชาย
หากวันไหนที่ฉันไม่ได้เห็นเธอมานั่ง ณ ที่เดิม ฉันมักจะคิดเอาเองว่า ...ลูกชายของเธอกลับมาแล้วและเธอคงจะมีความสุขเสียเหลือเกิน ที่ได้อยู่กับลูกชายที่เธอรักและเฝ้าถนอมมากับมือ ...
เรื่องที่ลูกชายของเธอหายออกไปจากบ้านจึงกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของภาพหญิงชรา ที่นั่งตาลอยคอยใครสักคน อย่างเศร้าสร้อยอยู่หน้าบ้าน บางครั้งฉันจะเห็นเธอมานั่งรออยู่หนึ่งหรือสองอาทิตย์ บางครั้งก็เป็นเดือน แต่มาระยะหลังนี่เป็นปีเลยทีเดียว ที่ฉันจะเห็นภาพของหญิงชราผู้นี้นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดิมด้วยท่วงท่าเดิมๆ แม้กระทั่งในวันที่ลูกชายของเธอจากเธอไปไกลแล้วอย่างวันนี้
---------------------------------------------------------------------------
แต่การกลับมาครั้งหลังสุดของลูกชาย นั้นได้กลายเป็นความเศร้าสำหรับหญิงชราไปตลอดกาล เมื่อพญามัจจุราชได้เข้ามากระชากวิญญาณแห่งความสุขไปจากเธอ...
เพราะสาเหตุที่ลูกชายของเธอหอบผ้าผ่อนออกจากบ้านไปครั้งล่าสุดนั้น มาจากการที่เธอพลั้งมือไม่อยู่เผลอตบตีลูกชายที่รักด้วยความไม่เข้าใจของคนต่างวัย จึงทำให้ชะตาชีวิตของลูกชายเธอพลิกผัน เมื่อเขาออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อนที่เชียงใหม่และได้ไปติดโรคร้าย อย่างไม่มีทางจะรักษาให้หายขาดได้ จากผู้หญิงคนหนึ่ง คนที่ครอบครองตัวลูกชายของเธอไว้เกือบสองปี.....และการกลับบ้านในครั้งนี้ก็เป็นครั้งสุดท้ายของเขา .....เขากลับมาพร้อมกับอาการป่วยที่เข้าขั้นทรงๆ ทรุดๆ เพราะโรคร้ายรุมเร้า
ในครั้งนี้ลูกชายของเธอกลับมาอยู่บ้านได้เพียง ๓ เดือน เขาก็จากเธอไปตลอดกาล.....
ผู้หญิงคนนั้น คือ มัจจุราชที่พลัดพรากดวงวิญญาณแห่งความสุขไปจากเธอ เธอพร่ำพูดอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อมีใครถาม และไม่มีเลยสักครั้งเดียวที่เธอจะกล่าวโทษลูกชายของเธอเอง เกี่ยวกับความประพฤติที่นำพาเขาไปพบกับจุดจบแบบนี้
ไม่มีอีกแล้ว แก้วตาดวงใจของแม่ ไม่มีอีกแล้วคนที่แม่เฝ้าหวังจะฝากผีฝากไข้ยามที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงก้าวเดิน..แม่ซึ้งใจจริงๆ ลูกเอ๋ย...ที่ลูกของแม่ยอมอุทิศชีวิตตัวเองให้กับความรักที่ลูกคิดว่ามีค่า และเพียรทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง ...ที่ลูกบอกว่ารักเขามากมาย ... นั่นคือความรักที่ยิ่งใหญ่ของลูกกระนั้นหรือ แล้วความรักที่ดูธรรมดา
จากคนที่รักและห่วงใยลูกที่สุด ไม่เคยมีแม้แต่เงื่อนไข...ไม่เคยหวังซึ่งผลตอบแทนอย่างที่แม่มีให้ลูกเสมอมา
จะเป็นความรักที่มีคุณค่าใดๆ สำหรับลูกบ้างหรือไม่?...
ลูกเอ๋ย...ทุกวันนี้แม่ยังเห็นลูกอยู่นะลูกรัก...แม้ว่าลูกจะไม่กล้าเข้ามาใกล้... ไม่กล้ามาขอโทษต่อสิ่งที่ลูกได้กระทำไว้กับแม่ แต่แม่ก็เชื่อว่าลูกของแม่เริ่มเข้าใจและมองเห็นความรักของแม่แล้วว่ามันยิ่งใหญ่และมีคุณค่าสักเพียงใด....
ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นอีกแล้วลูก
. แค่ครั้งแรกที่แม่ได้เห็น สีหน้าท่าทางที่สำนึกผิดของลูก แม่ก็รู้แล้วว่าลูกรักของแม่รู้สึกอย่างไร คำว่า ให้อภัย
แม่มีให้ลูกรักเสมอ ไม่ว่าลูกจะทำผิดสักกี่ครั้ง พลาดพลั้งมากี่หน ไม่สักครั้งที่แม่จะรังเกียจลูกเช่นคนอื่น ไม่ว่าอย่างไรลูกก็ยังเป็นดวงแก้วที่สุกสว่างท่ามกลางความมืดมิดของแม่เสมอ
ลูกรัก
วันนี้หลับให้สบายเถอะนะ ไม่ต้องมาหาแม่อีกแล้ว
.. เพราะเฮือกสุดท้ายแห่งลมหายใจของแม่กำลังจะสิ้นสุด
.และอีกไม่นานเราคงได้พบกัน
เช้าวันต่อมาเท้าที่แสนจะภักดีก็พาฉันมาหยุดอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นกลับไม่เหมือนเดิม เมื่อฉันได้รับรู้ว่าหญิงชรานั้นได้เริ่มต้นเดินไปบนเส้นทางที่แสนสงบ
พร้อมกับดวงแก้วที่สุกสว่างส่องนำทางบนมือของเธอ
..
ฉันคิดว่าคงเป็นเช่นนั้น เพราะรอยยิ้มสุดท้ายบนดวงหน้าที่แสนคุ้นเคยนั้น ให้ความรู้สึกที่ อบอุ่น อ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความสุขล้น เหมือนรอยยิ้มนั้นจะบอกคนที่ได้มาพบว่า เธอได้ยิ้มให้กับคนที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุดในชีวิต กระนั้น
ปรับปรุงล่าสุด : 20 พฤศจิกายน 2551
(***จะพยายามขัดเกลาใด้ดี )
|