ในชีวิตของการเป็นนักศึกษาที่พวกเขาท่านทั้งหลายผ่านกันมา หวานมันส์ขมขื่นบ้างแตกต่างกันไป คนทำงานปัจจุบันจำนวนไม่น้อย เลือกที่จะใช้ชีวิตระหว่างเรียนรู้ควบคู่ไปกับการทำงานพาร์ทไทม์ หรืองานประจำแล้วไปสอบ ซึ่งเป็นวิธีการเรียนกับมหาวิทยาลัยปิดเช่น รามคำแหง และสุโขทัยธรรมาธิราช หรือไปเรียนเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์กับมหาวิทยาลัยเอกชน ก็มีให้เห็นไม่น้อย
ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่ง ได้รับมอบหมายและสนับสนุนให้เรียนแบบเต็มเวลาจากทางบ้าน พ่อแม่พี่น้องผู้ปกครองสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเรียนเต็มที่ โดยคาดหวังว่าลูกหลานมาเรียนจะสามารถจบไปหางานทำเพื่อเลี้ยงตัวเองได้ หรือนักศึกษาอีกมหาศาล กู้เงินของรัฐ ตกแล้วปีละหลายหมื่นล้านบาท เป็นหนี้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มใช้ชีวิตของการทำงาน แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน และต่อเนื่องไปถึงรับงาน
"วิจัยฝุ่น" เมื่อเรียนจบ ช่างเป็นที่เน่าเสียดายอย่างยิ่ง
หากถามผมว่า ทำไมหรือถึงเป็นอย่างนั้น ขอตอบแบบที่ไม่เอาภาพกว้าง แต่เจาะจงมาที่ตัวคนนะครับ ตรงไปตรงมาคือ มันอยู่ที่ว่านักศึกษาเต็มเวลาที่ผมขอเรียกว่า
"นักศึกษามืออาชีพ หรือคนที่มีอาชีพเป็นนักศึกษา" ทั้งหลายเหล่านั้น ขาดคำแนะนำที่เพียงพอจากคนที่มีประสบการณ์การทำงาน ช่างบังเอิญเสียจริงว่า นักศึกษาไม่น้อยไม่ค่อยเชื่อฟังอาจารย์เท่าไรนัก เพราะคนในยังงัยก็ไม่เท่าคนนอก คนนอกพูดชอบที่จะรับฟัง อาจารย์บอกก็งั้น ๆ พาลเอาว่าอาจารย์บ่นไปเสีย...
ผมเองไม่ขอนับนักศึกษาที่ขาดความสำนึกที่ดี วันวันเอาแต่แต่งหน้าทาปากเหมือนไปเดินแบบไปนั่งเรียน เอาแต่รับโทรศัพท์ คุยแต่เรื่อง
Shopping และผลาญเงินพ่อแม่ ที่มากกว่านั้นคือผลาญเงินกูยืมของหลวงที่ควรจะตกกับคนที่ตั้งใจเรียนเพื่อจะไปทำงานอย่างแท้จริง อันนี้ ไม่อยากว่ากันยาวครับ.... และไม่ขอนับพวกลูกท่านหลานเธอที่ได้บุญของพ่อแม่เจือจุน
เอาเป็นว่า ขอทำตัวเป็น
Coach ให้กับน้อง ๆ ที่มีโอกาสแวะมาอ่านบทความนี้ก็แล้วกัน
ผมขอเน้นเรื่องนี้ก็ด้วยเหตุที่ว่า น้อง ๆ ที่จบมาหมาด ๆ เจ้าทำงานใหม่ ๆ ในองค์การ หลายคนไปไม่ถึงฝั่งฝัน ตกม้าตายเพราะปรับตัวไม่ทันกับวิถีชีวิตของการทำงาน ซึ่งมันมีผลต่อโยงไปถึงการสร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่ว่าแบบนี้ก็เพราะ น้อง ๆ หลายคน ครองตนไม่เหมาะ และหลายเป็นความเคยชินมาจนถึงเวลาก้าวย่างเข้าสู่การทำงาน หลายเรื่องน้อง ๆ เหล่านี้เข้าใจมันไม่ตรงกับเจตนาที่แฝงอยู่ และหลายเรื่องที่น้อง ๆ บางคนก็คิดว่า มันไม่สำคัญอะไรเลย ทั้งที่มันสำคัญมากเช่นกัน
ซึ่งสภาพแบบนี้ เราไม่ค่อยพบกับนักศึกษากลุ่มเรียนด้วยทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งเสียตัวเองเรียน ด้วยครับ
ขอฝากเป็นแง่คิดไว้เป็นข้อ ๆ เพื่อให้น้อง ๆ เหล่านักศึกษามืออาชีพทั้งหลายในระหว่างที่เตรียมพร้อมจะจบการศึกษาไปทำงาน รวมทั้งคนที่ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการเรียน เอาไว้ลองทบทวนและเตือนสติตัวเองให้มั่นคงก็แล้วกันครับ
ที่ผมเขียนอาจจะแรงไปนิดสำหรับน้อง ๆ จำนวนหนึ่งที่อาจจะหน้าบางไปหน่อย ไม่กว้าอ่านเอง ขอแนะนำให้เพื่อสนิทหรืออาจารย์ที่ปรึกษาลองอ่านและถ่ายทอดให้ฟังก็แล้วกันครับ
เริ่มจากเรื่องแรก
"หัดเรียนรู้คนหลากหลาย"
ข้อแนะนำนี้ เป็นเรื่องที่ขอให้น้อง ๆ ทั้งหลายหมั่นเรียนรู้จักคนหลากหลายสายอาชีพ หรือมีเพื่อนหลายคณะ หลายชมรม หลากหลายชั้นปีนั่นเอง ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากเลยนะครับ ทั้งในเวลาที่ยังเรียน และในเวลาที่เรียบจบไปแล้ว ในระหว่างที่เรียน การมีเพื่อนที่หลากหลายกลุ่ม เป็นการฝึกปรือทักษะในด้านมนุษยสัมพันธ์ บุคลิกภาพ ทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคล การทำงานร่วมกับคนอื่น และอีกมากมายอะไรทำนองนี้ และมันก็คือการสร้าง
connection ที่เราจะสามารถหยิบจับนำมาใช้เมื่อเราจบไปแล้ว เช่น มีเพื่อนเรียนจบสถาปัตย์มา บางทีหัวหน้าอาจจะมาปรึกษาเรื่องการตกแต่งสำนักงานใหม่ ซึ่งคุณไม่รู้ก็สามารถสอบถามปรึกษาเพื่อน เพื่อเสนอกับหัวหน้าได้ มันก็ย่อมดีกว่าการตอบว่า "ไม่รู้อ่ะ" เพราะไม่ได้จบสายนี้มา.....
ปรับมุมมองเกี่ยวกับอาจารย์ใหม่
นักศึกษามืออาชีพทั้งหลาย โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยเอกชน ตีค่าอาจารย์เพียงแต่ลูกจ้างบริษัทที่รับจ้างมาสอน แตกต่างจากมหาวิทยาลัยของรัฐที่เป็นข้าราชการอันควรยกย่อง วิธีการปฏิบัติและวิธีคิดของนักศึกษาเหล่านี้ก็แล้วสะท้อนออกมาในลักษณะที่ไม่ค่อยฟังกัน ขาดความเคารพนบนอบ ซึ่งบ่งบอกถึงการด้อยมารยาททางสังคม
ลองคิดในมุมใหม่สิครับ อาจารย์ทั้งหลายที่มาสอนคือผู้สร้างประสบการณ์ความคิดที่ดีดีกับเรา ทั้งยังสามารถให้คำแนะนำปรึกษาแบบมืออาชีพ หรืออาจจะว่าตามตำราเป๊ะก็ไม่ผิดครับ ถึงจะ "ไม่พอ" แต่มันใช้ได้ทีเดียว ที่สำคัญปรึกษาไม่ได้เสียตังค์ อาจารย์หลายท่านสามารถให้คำปรึกษาแนะนำแบบมืออาชีพเพื่อช่วยไขปัญหาเรื่องการเรียน และเมื่อเรียนจบไปแล้ว ยังนำแง่คิดคำแนะนำไปใช้ในการทำงาน หรือขอคำปรึกษาได้อีกต่างหาก น้อง ๆ อาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำไปว่า อาจารย์บางท่านเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทเอกชนทั้งหลายได้ค่าตอบแทนมหาศาล แต่เราสิไม่เคยถามอาจารย์เลย น่าเสียดายจริง ๆ
แต่หากน้อง ๆ อยากได้อะไรที่ดีจากอาจารย์ แต่ไปตีตนเสมอ คุยเหมือนกับเป็นเพื่อน น้อง ๆ คิดว่าอาจารย์ท่านไหนอยากคุยด้วย หรือยากจะจดจำให้ความช่วยเหลือล่ะครับ
เรื่องการต่อรอง
น้อง ๆ ชอบคิดกันว่า พออาจารย์สั่งงานหรือมอบหมายให้ทำการบ้านอะไรก็ตามมากมาก มันต้องต่อรองสักหน่อย อาจารย์ให้งาน 3 วันทำทันเหรอ งานของอาจารย์คนอื่นสั่งมาก็บ้าเลือดแล้ว เรียนมาก็หลายเรื่อง
และหากต่อรองได้ก็กลายเป็น Hero ของห้องไปเลย
คิดแบบนี้ ลบไปหน่อยครับ ลบลบแบบนี้ ตอบได้เลยว่า ยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตจริงของการทำงาน
แต่ในแทบทุกห้องเรียนล่ะครับ จะมีนักศึกษามืออาชีพที่ไม่ติดเงื่อนไขอะไรเลย แม้ว่าทุกวิชาที่เรียนจะมีการบ้านมากแค่ไหนก็ตาม น้อง ๆ เหล่านี้ ไม่ได้ happy กับเพื่อน ๆ ที่ชอบต่อรองกับอาจารย์แล้วภาคภูมิใจเหลือหลายว่าทำให้อาจารย์เลื่อนกำหนดส่งการบ้านออกไปได้ น้อง ๆ ที่สำนึกดี เค้าจะมองว่ามันเป็นเรื่องท้าทายที่เขาจะบริหารจัดการเวลาให้เหมาะสมในเรื่องการเรียนกับการใช้ชีวิต และแน่นอนน้อง ๆ กลุ่มนี้มักใช้เวลาส่วนใหญ่กับการตั้งใจเรียน ตรงข้ามสิครับ น้อง ๆ กลุ่มที่ต่อรองสารพัด ทำไม่ได้ ทำไม่ทันหรอกครับ แตกต่างจากน้อง ๆ กลุ่มที่ตั้งใจทำงานโดยไม่ปริปากบ่นที่ผมว่าไปมากโขเลย ผมถามน้อง ๆ คิดว่าคนกลุ่มไหนหรือที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ได้ดี" กว่ากัน
ผมเองแนะนำให้น้อง ๆ ปรับเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่...!!!!
คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หากไม่นับว่าบารมีพ่อแม่หนุนส่ง หรือเป็นลูกเถ้าแก่ที่คอยรับมรดกความร่ำรวยจากพ่อแม่ แทบจะทั้งนั้นทำงานหนัก ในชีวิตของการเรียนเขาก้มหน้าก้มตาทำงานส่งอาจารย์อย่างไม่ปริปากบ่น และท้าทายตัวเองด้วยการสร้างภาพความสำเร็จที่น่าภูมิใจให้กับตัวเองอยู่เสมอ
การบ้านของอาจารย์ที่ให้ในเวลากระชั้น ผมเองมองว่าอาจารย์ไม่ได้บ้าเลือกหรอกครับ เพราะแทบจะทั้งนั้นก็ผ่านประสบการณ์กันมาแล้ว ทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโทหรือปริญญาเอก อาจารย์ทั้งหลายจึงเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ที่ทำคือต้องการฝึกความอดทนต่อความเครียดและสถานการณ์การทำงานภายใต้เวลาอันจำกัด และบังเอิญอย่างยิ่งที่มันเป็นคุณสมบัติที่บริษัททั้งหลายกำหนดไว้ตั้งแต่ประกาศรับสมัครงานซะด้วยสิ
...
ลองคิดดูให้ดีครับ น้อง ๆ นักศึกษามืออาชีพ มีหน้าที่อย่างเพียว ๆ คือการเรียน หากรับผิดชอบเท่านี้ไม่ได้ จะหวังให้องค์การไว้ใจให้ทำงานใหญ่กับองค์การได้อย่างไรล่ะ หรือวันวันเอาแต่เที่ยวจีบสาว หรือเดินเที่ยว โทรศัพท์หาเพื่อนวันละครั้งวัน ลืมงานที่อาจารย์มอบหมาย ใช้บริการอาจารย์
"Google" copy&paste ความรู้ส่งอาจารย์ หรือทำงานส่งไม่ทันไปลอกเพื่อแบบลวก ๆ เพื่อส่งอาจารย์ แบบนี้องค์การไหนจะมั่นใจให้น้อง ๆ เติบโตในอาชีพการงานล่ะครับ
อย่าลืมว่า ปริมาณนักศึกษาจบใหม่เอาแค่ระดับปริญญาตรีในแต่ละปี รวมแล้วทุกมหาวิทยาลัยก็มหาศาล
....!!! บวกกับคนตกงานที่มีประสบการณ์อีกเยอะ แม้แต่ปริญญาโทยังจบกันเกลื่อน องค์การก็เลยเป็น "สวยเลือกได้" สิครับ จ้างคนจบปริญญาโท ให้เงินเดือนเพิ่มอีกนิดหน่อยเมื่อเทียบกับจ้างปริญญาตรียังงัยก็คุ้ม
ในโลกการทำงานจริง ๆ นั้น ผมก็เห็นน้อง ๆ หลายคนที่ขาดอะไรหลายอย่างเหล่านี้ กลายเป็นพนักงานขั้นสองในที่ทำงานบริษัทชั้นนำทั้งหลายไป เงินเดือนก็ต่ำกว่า มองยังไม่เห็นความก้าวหน้าในอาชีพการงาน
เฮ้อ
...ตั้งใจเรียนเถอะครับ
ก่อนจบตอนที่
1 ไปว่ากันในตอนหน้าตอนจบ ผมขอแชร์ประสบการณ์ว่า โลกของการทำงานจริง ๆ นั้น มันโหดร้ายไม่น้อยเลยครับ เพราะมันเป็นเวทีที่ได้รับการปลูกฝังความคิดกันมาว่าไม่ใช่สนามเด็กเล่น ที่จะมีช่องว่างสำหรับความผิดพลาดหนที่สอง (ไม่ต้องคิดไปถึงครั้งที่สาม) คนที่พร้อมด้วยการฝึกฝนตัวเองเป็นอย่างดีนับจากเยาว์วัยที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ จะได้เปรียบและเป็นที่ต้องการขององค์การทั้งหลาย เชื่อผมเถอะ....