มาว่ากันต่อเลยครับ
เรียนรู้ความรู้นอกตำรา อย่ายึดติดแต่กับทฤษฎี
ข้อนี้มักเป็นความจริงที่คนทำงานทั้งหลายมักเอ่ยปากว่า พอไปทำงานจริง ตำราทั้งหลายที่เรียนมาแทบจะไม่ได้ใช้ จริงจริงก็ไม่ทั้งหมดครับ เพียงแต่ในระดับของการปฏิบัติงาน ตำราไม่ได้บอกละเอียด เพราะตำราให้แนวคิดพื้นฐานเสียมากกว่า ซึ่งว่าไปแล้ว องค์ความรู้ที่มีบอกไว้ในตำราที่น้อง ๆ เรียน มันอาจจะไปตรงกับความต้องการของผู้ปฏิบัติงานระดับสูงขึ้นไปสักนิด ที่จะต้องใช้ความรู้พวกนี้มาประยุกต์เอากับการทำงานจริง ตำราจึงให้วิธีการปฏิบัติงานที่ค่อนข้างหยาบ นี่คือเหตุผลที่ผมสนับสนุนให้น้อง ๆ เรียนรู้อะไรนอกตำราเรียนไว้บ้าง
ในโลกของความเป็นจริง ความรู้ที่เราใช้ในการทำงานมีหลากหลายนอกจากตำราเรียนครับ คนทำงานมักพึ่งพิงหนังสืออีกแบบหนึ่งที่เราเรียกกันว่า know how หรือเทคนิควิธีการทำงานนู่น นี่ นั่น เสียมากกว่า ซึ่งบอกเรื่องที่เป็นวิธีการของการทำงานจริงมากขึ้น ซึ่งบางเล่มก็ให้ทั้งแนวคิด+วิธีปฏิบัติที่นำมาใช้แล้วเป็นผลสำเร็จในบางองค์การ หากถามว่า Know how พวกนี้คืออะไร ผมคิดว่ามันก็คือภาคปฏิบัติจากทฤษฎีหรือแนวคิดที่นำมาปรับใช้ในบางสถานการณ์ขององค์การที่ได้ผลแล้วนำมาแนะนำบอกต่อนี่เอง การอ่านหนังสือพวกนี้ จะช่วยให้น้อง ๆ ได้เรียนรู้โลกของการทำงานที่ชาวบ้านเขาทำกัน ซึ่งให้แนวคิดที่ลุ่มลึกมากขึ้นกว่าตำราที่บางทีอาจารย์อาจจะเขียนให้นักศึกษาปีนบันไดอ่าน กระทั่งทำให้นักศึกษาจำนวนไม่น้อยไม่อยากจะอ่านไปเลย
แต่การเรียนรู้ทฤษฎีก็ไม่มีอะไรเสียหาย ตรงกันข้าม หากน้อง ๆ สามารถทำความเข้าใจทฤษฎี หรือแนวคิดต่าง ๆ ได้อย่างเข้าใจ ก็ย่อมเป็นประโยชน์ทั้งในการศึกษาต่อ และการนำมาคิดต่อยอด
น้อง ๆ ที่อยากจะสร้างความพร้อมของตัวเองสำหรับการทำงาน และเรียนรู้เพื่อให้ได้แง่มุมความคิดที่หลากหลายลุ่มลึก จึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องอ่านหนังสือแบบที่ว่านี้ด้วยครับ อ่านคู่กันกับตำราเรียนหลักนั่นล่ะดี ผมคิดว่า ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยทั้งหลายมีหนังสือเหล่านี้จำนวนมาก และมากกว่าตำราเรียนที่อาจารย์แนะนำให้อ่านเสียด้วยซ้ำ
อีกเรื่องหนึ่งที่น้อง ๆ มักจะพบคือการที่อาจารย์สอนโดยใช้กรณีศึกษาหรือ Case Study มันเป็นยังงัย ดีตรงไหนล่ะ
ผมคิดว่าอาจารย์แทบจะร้อยทั้งร้อย จะพยายามหยิบยกตัวอย่างกรณีศึกษามาอธิบายประกอบกับแนวคิดทฤษฎีที่นำมาพูดถึงในชั้นเรียน เพียงแต่ในระดับปริญญาตรี เนื่องจากอาจารย์ก็อยากให้พื้นฐานแนวคิดที่แน่นแน่นกับนักศึกษาเสียก่อน จึงมักจะว่ากันตามตำราเป็นส่วนใหญ่ จะยกกรณีศึกษามากล่าวถึงก็เกรงนักศึกษาจะไม่เข้าใจ เพราะนักศึกษาแทบจะไม่ค่อยได้เรียนรู้โลกของการทำงาน ทำนองว่า มันยังไม่ถึงเวลา
อาจารย์ก็คิดน้อยไปหน่อย ว่ากันแล้ว กรณีศึกษาเป็นวิธีการนำเสนอเนื้อหาของการเรียนการสอนอีกวิธีหนึ่ง ทักษะ วิธีการนำเสนอในการสอน และเนื้อหาที่เคลียร์ของอาจารย์ต่างหากที่จะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจ อาจารย์ก็ต้องทำการบ้านนิดนึงครับ เพราะโลกการทำงานของอาจารย์จริง ๆ มันไม่ได้แก้ไขปัญหาในการทำงานสารพัดพอที่จะสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยการทำงานของอาจารย์เอง เว้นเสียแต่อาจารย์จะไปเป็น consult ให้กับองค์การเอกชนทั้งหลาย แต่ทว่าหากอาจารย์ไม่เก่งจริง คงไม่มีใครจ้างครับ
อย่าละเลยที่จะทำกิจกรรมระหว่างเรียน
น่าเสียดายที่น้อง ๆ หลายคนไม่ค่อยจะสนใจทำกิจกรรมระหว่างเรียนบ้าง น้อง ๆ ที่เป็นนักศึกษาเต็มเวลามักพบว่า มหาวิทยาลัยทั้งหลาย มักจะมีกิจกรรมนอกหลักสูตร เรียกว่ากิจกรรมชมรมบ้าง กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์หรือกิจกรรมการให้บริการทางวิชาการกับชุมขนมากมายไปหมด มีทั้งกิจกรรมภายในรั้วมหาวิทยาลัยและที่จะต้องออกไปพบปะชาวบ้านภายนอกบ้าง กิจกรรมเหล่านี้ สอนให้น้อง ๆ นอกจากจะเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับคนอื่นหรือคนหมู่มาก ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มเพื่อนร่วมคณะหรือต่างคณะก็ตาม บางทีก็เป็นคนที่มาจากต่างสถาบัน สอนให้เราได้เรียนรู้จักวิธีการทำงานเป็นคณะ เป็นทีม การปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความเห็น การโน้มน้าวให้คนอื่นเห็นด้วยกับความคิดเรา และยังช่วยให้น้อง ๆ ได้เห็นโลกอีกหลายมุมมองที่น้องอาจจะไม่เคยพบเลยตั้งแต่เริ่มโตเป็นหนุ่มสาว หลายกิจกรรมที่ต้องไปช่วยเหลือบำเพ็ญประโยชน์ สอนให้เรามีจิตสำนึกที่ดีงามต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เรียกว่าจิตสำนึกสาธารณะ ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในบรรดาคนรุ่นหนุ่มสาวยุคนี้ รู้จักเอื้ออาทรแบ่งปันระหว่างกัน สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่ช่วยปรับวิธีคิดวิธีการครองตัวของน้อง ๆ ได้มากทีเดียว แต่ก็มีน้องๆ จำนวนไม่น้อยที่มีโลกส่วนตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่สนใจกิจกรรม เอาเป็นว่าฉันตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว ก็ไม่ผิดหรอกครับ แต่มันน้อยไปหน่อย ทบทวนมุมมองบ้างก็ดีเช่นกัน....
เข้าใจมารยาทสังคม
ข้อผิดพลาดที่น้อง ๆ อาจจะไม่ได้คิด หรือคิดน้อยไปหน่อย จนทำให้ปรับตัวไม่ทันเวลาที่ไปทำงานจริง ทำให้เกิดความอึดอัดอย่างมากเลยได้แก่ life style ของชีวิตนักศึกษาที่แตกต่างจากคนทำงาน ความอึดอัดนี้เป็นมรดกของความเคยชินสมัยเป็นนักเรียนนักศึกษามืออาชีพครับ เพราะเราอยากจะตื่นตอนไหนก็ได้ ไปดูหนังกับเพื่อนหรือแฟนมาดึก กลับถึงหอพักไปเรียนไม่ทันก็ลาอาจารย์บอกว่าป่วย ไม่ต้องไปจริงจังกับเรื่องใบรังรองแพทย์ เว้นเสียแต่ช่วงสอบที่ต้องเป็นเรื่องอยู่บ้าง หาเหตุผลมาอธิบายสารพัดกับอาจารย์สักนิดก็พอได้ แต่กับที่ทำงานมันไม่ได้ครับ
อยากให้น้อง ๆ ลองดูตัวอย่างจากเรื่อง Do&Dont ในวันทำงาน ที่ผมนำเสนอไว้ในเวบสิครับ (คีย์คำนี้ใน google ก็เจอ !!!) ลองคิดดู จะเห็นว่าแหมมันเรื่องมากนะ จริงครับ มันคือมารยาทในการทำงานที่น้องจะต้องปรับตัวให้ได้ จะถือว่าฉันเป็นของฉันแบบนี้ไม่ได้ครับ เพราะบริษัทหรือองค์การทั้งหลายก็จะบอกว่า งั้นคุณก็อยู่ไม่ได้ เพราะบริษัทก็เป็นของบริษัทแบบนี้เหมือนกัน ก็ตกงานสิครับ....!!! อยากให้น้อง ๆ เรียนรู้จากที่ผมแนะนำให้ไปอ่านเข้าไว้บ้าง สร้างความคุ้นเคยไว้ก็ไม่เสียหายหรอก เพราะมันจะได้นำไปใช้จริง ๆ เวลาไปทำงาน หรือจะใช้มันในระหว่างเรียนก็ไม่เสียหาย เพราะมันเป็นมารยาทสังคมที่คนส่วนใหญ่ยอมรับกัน เช่น เรานิยมตั้งโทรศัพท์ระบบสั่นในที่ทำงาน แต่ในห้องเรียนสิ โชว์เต็มที่ เสียงเรียกเข้าแบบใหม่ เร่งเสียงให้ดังเข้าไว้ หากไปอยู่ในที่ทำงาน อาจจะโดนหัวหน้างานตำหนิว่า ไม่มีมารยาท...ไปเปิดที่บ้านไป๊ ก็ได้นะครับ
ฝึกความทดทนและรับผิดชอบให้มากเข้าไว้
คาถาของคนทำงานที่ประสบความสำเร็จก็นำมาใช้กับการเรียนได้ครับคือ อดทนและรับผิดชอบ ในหน้าที่ของตัวเอง ในหน้าที่ของการเรียนก็พยายามเรียนให้ดี ทำหน้าที่ให้ครบให้ตรงกับบทบาทของตัวเอง นักศึกษผู้ชายไม่มีหน้าที่ไประเบิดหูเพื่อใส่ต่างหูรูเบ้อเร้อฉันใด ในการทำงานเชื่อว่าหัวหน้าทั้งหลายก็ไม่ได้ปลื้มฉันนั้นล่ะครับ เพราะบางทีมันก็มากเกินไป นอกเสียจากไปทำงานส่วนตัวหรือทำงานบริษัทแฟชั่นอะไรทำนองนั้นก็อาจจะไม่ว่ากัน แต่หากคุณต้องไปพบลูกค้า มันจะเหมาะหรือเปล่าล่ะ...
ความอดทนและรับผิดชอบที่ผมว่าไป ทำง่าย ๆ ด้วยการตั้งหน้าตั้งตา ในเรื่องตอนก่อนผมแนะนำว่า การต่อรองส่งการบ้านนี้ ก็เป็นหนึ่งตัวอย่างที่ไม่ควรทำ ด้วยเหตุผลที่ผมยกตัวอย่างไป
ขอเล่าเรื่องเล็ก ๆ ให้น้อง ๆ ฟังนิดหน่อยพอเป็นกระษัยว่า เคยมีการสำรวจชั่วโมงการฝึกฝนตัวเองของนักกีฬาหรือนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของ Malcolm Gladwell ในหนังสือเรื่อง Outliers: The Story of Success เค้าพบว่า คนในอาชีพดังที่ว่าที่ประสบความสำเร็จต้องฝึกฝนตัวเองไม่น้อยกว่า 10,000 ชั่วโมง ตีซะว่าหาดเค้าจะต้องฝึกซ้อมกีฬาหรือดนตรีวันละ 2 ชั่วโมง เค้าต้องใช้เวลามุมานะทุกวันถึง 14 ปีเชียวนะครับ คำถามที่ถามกลับคือ เวลา 2-3-4 ปีระหว่างเรียนปริญญาตรีนี่ น้อง ๆ ได้ฝึกฝนตัวเองให้เก่งอะไรบ้าง นั่นล่ะคือคุณค่าที่น้อง ๆ จะต้องคิดสร้างให้กับตัวเอง แม้จะไม่ต้องไปเดินตามเค้าเสียขนาดนั้นก็ตาม
เกรดนี่ล่ะสำคัญ
สุดท้ายท้ายสุดที่อยากให้ข้อคิดคือเกรดนี่ล่ะสำคัญ หลาย ๆ คนมักคิดว่าเรียน ๆ ไปพอให้จบจบ น่าตกใจที่น้อง ๆ หลายคนมาสมัครงานด้วยเหรดเฉลี่ยจากมหาวิทยาลัยเอกชน 2 นิดนิด แทบจะไม่จบหลักสูตร เหล่า Recruiter หรือเจ้าหน้าที่สรรหาของบริษัทใดแค่เปิดเห็นประวัติการศึกษาและผลการเรียนก็แทบจะปิดไม่ต้องดูแล้วครับ
ทำไมหรือ...มันสะท้อนถึงความอดทนและรับผิดชอบตามหน้าที่ แม้แต่คนที่ต้องทำงานด้วยเรียนด้วย เราก็ยังคิดว่าผลการเรียนก็สำคัญ ไม่ใช่เรียนให้พอจบไปเพื่อทำงานอย่างเดียว อย่าลืมครับ บริษัททั้งหลายเค้าเป็นประเภท สวยเลือกได้ นะครับ ก็คนจบมาแต่ละปีมหาศาล ที่เปลี่ยนงานหรือตกงานก็แทบจบหลายสิบคันรถ องค์การก็สามารถเลือกได้ และก็เลือกง่าย ๆ จากผลการเรียนนี่ล่ะ
ผมการเรียน ยังบอกกถึงระดับสติปัญญาและความสามารถในการเรียนรู้ของน้อง ๆ ด้วยเช่นกัน บริษัทมักใช้เป็นข้อมูลประกอบที่สำคัญตัวหนึ่ง ควบคู่ไปกับประสบการณ์การของการทำงาน หรือการทำกิจกรรมระหว่างเรียน แต่หากให้น้ำหนักแล้ว ประสบการณ์การทำงานซึ่งอาจจะเป็นงาน part-time ก็ได้ ก็ย่องจะมีภาษีดีกว่า เพราะกิจกรรมระหว่างเรียนระหว่างศึกษานั้น บริษัทเค้าไม่เห็นด้วยซะหน่อยนี่ครับ จะบอกอะไรมาก็ว่าไป เพราะมันตรวจสอบยาก แต่การทำงานนี่สิ แค่ยกหูสอบถาม หรือดูจากหนังสือรับรองการทำงานก็เห็นชัดเจนแจ่มแจ๋ว
น่าเสียดายอีกนั่นล่ะที่น้อง ๆ ที่ใช้เงินกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายหรือตั้งใจสร้างผลการเรียนหรือเกรดที่ดี จึงขอย้ำนะครับว่า เกรดนี่ล่ะสำคัญมาก
อย่าปล่อยให้ชีวิตของนักศึกษามืออาชีพผ่านไปโดยที่ไม่ได้สร้างคุณค่าให้กับตัวเอง....เพราะเวลามันเอาคืนมาไม่ได้ ชีวิตไม่สามทรถ undo ได้เหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ครับ
|