ผมเองเคยนำเสนอบทความเรื่องทักษะที่นายจ้างสมัยใหม่ต้องการจากคนทำงานอย่างท่านอย่างผมมาแล้ว จำได้ว่าราวร้อยกว่าตอนก่อนหน้าที่ผมเริ่มเขียนและส่งงานเขียนมาทางเวบนี้ วันเวลาผ่านไป ยิ่งดูเหมือนทักษะความต้องการของนายจ้างที่มีต่อลูกจ้างจะมากขึ้นอีกหลายเรื่อง แม้ว่าค่าตอบแทนที่นายจ้างอยากจะให้ไม่ได้สูงมากนัก เมื่อเทียบกับคุณสมบัติที่อยากได้จากคนคนหนึ่ง
ทำไมหรือ ???
ก็สมัยนี้ ใครบอกได้บ้างว่างานน่ะหาง่าย ถ้าคุณไม่ใช่คนเก่งที่ประสบการณ์ความรู้ดี ทักษะความสามารถเยี่ยม ก็มักไม่ค่อยเข้าตา recruiter ทั้งหลายหรอกครับ ที่เป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคนที่เรียนจบระดับปริญญาตรีมีให้เกลื่อนไปหมด มองไปทางไหนก็ปริญญาโทกันแทบจะทั้งนั้น เพราะเรียนไม่ได้ยากเย็นอะไร หลายสถาบันการศึกษาขนาดเล็ก ๆ แทบจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมาตรฐานและคุณภาพของการเรียนการสอน เอาเป็นว่ามีคนที่มาสอน ก็แล้วกัน ถูกเกณฑ์บ้าง นอกเงื่อนไขบ้าง ใครจะมาตรวจสอบล่ะ หลายเป็นว่า ปริญญาตรีและปริญญาโท โดยเฉพาะในสายสังคมศาสตร์ของบ้านเมืองเรา จะให้เจ๋งคงต้องอยู่กับมหาวิทยาลัยชั้นนำ อย่างนิด้า ศศินทร์ วิทยาลัยการจัดการ ม.มหิดล ไปนู่น มีส่วนหนึ่งที่เป็นวิทยาลัยหรือคณะของภาครัฐ ที่เน้นหาเงินเข้ากระเป๋าก็ไม่น้อยครับ
ซึ่งที่ผมว่าไปนั้น ฟังดูเหมือนบ่น แต่ก็คือโลกของความเป็นจริงที่ผมมีประสบการณ์ เรื่องของเรื่องที่ผมต้องการนำเสนอกับท่านผู้อ่านก็คือ คุณวุฒิที่ได้คนทำงานมีนั้น เมื่อมันเกลื่อนไปหมดแล้ว นายจ้างทั้งหลาย ก็พยายามหาความแตกต่างหรือความโดดเด่นของคนทำงานจากทักษะที่หลากหลายที่ลูกจ้างจะต้องมีให้ได้นี่เอง ทำนองว่า ไม่มีหรือมีบ้างไม่มีบ้าง ไม่รับดีกว่า.....
ในส่วนลูกจ้างเอง ก็อย่างได้ประมาทไป นอกจากการเตรียมบุคลิกที่ดี กิริยาท่าทาง พร้อมกับคุณวุฒิที่มีแล้ว น่าจะหมั่นสร้างทักษะที่จะสามารถใช้ได้ในโลกของการทำงานจริงไว้บางให้หลากหลาย เพื่อสร้างความโดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งขันคนอื่น ในสมรภูมิที่จะต้องแข่งขันแย่งชิงกันหางานทำ และสร้างความเติบโตในหน้าที่การงานให้ตัวเอง
ทักษะ 9 เรื่องต่อไปนี้ เป็นทักษะที่ผมรวบรวมจากประสบการณ์การทำงานในด้าน Recruit และการพัฒนาพนักงานมานำเสนอ ทักษะที่ว่านั้น มีอะไรบ้างล่ะ มาดูกันครับ !!!
แต่กระนั้น จะนำเสนอเฉพาะด้านของทักษะมันก็ไม่ใคร่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร ผมก็เลยขอเพิ่มเติมเนื้อหาแบบข้อคิดข้อเสนอแนะประกอบไปด้วยกัน น่าจะเข้าทีมากกว่า และได้ประโยชน์มากคุ้มค่ากับเวลาที่ท่านผู้อ่านจะต้องมาอ่าน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฝ่ายฝึกอบรมที่อาจจะเอาแง่คิดที่ผมนำเสนอไปใช้ประโยชน์เพื่อการฝึกอบรมหรือสร้างการเรียนรู้ให้กับบุคลากรของท่านได้...
1) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ เน้นในทักษะของการใช้โปรแกรมพื้นฐานในการทำงาน ซึ่งในสำนักงานทั่วไปก็ได้แก่โปรแกรม Microsoft Office ซึ่งก็มีโปรแกรมหลักของการใช้งานอยู่ไม่กี่ตัว เช่น Word, Excel, Powerpoint เป็นต้น บางหน่วยงานที่ใช้ Open Source ก็ต้องรู้จักการใช้โปรแกรมเหล่านี้ ซึ่งอาจจะไม่คุ้นบ้างหากเราท่านคุ้นเคยโปรแกรมทำงานตระกูล Microsoft มานมนาม
โปรแกรมการใช้งานท่านจะต้องใช้ในการทำงานจริงยังได้แก่โปรแกรมรับส่งเมล์ภายในจำพวก Lotus Smart Suite, Microsoft Outlook จะเวอร์ชั่นใดก็ตาม ท่านผู้อ่านที่เป็นพนักงานมือใหม่ทั้งหลายที่ไม่ค่อยคุ้น จะต้องเรียนรู้ไว้ให้ใช้งานได้ หรือมีพื้นฐานนึกหน้าตามันออกเลยล่ะครับ
ผมขอเสริมส่วนที่เป็นการใช้งานด้วยครับ ซึ่งบางท่านอาจจะไม่เห็นด้วยกับที่ผมเสนอคือการรู้จักทำหน้าตาเอกสารให้น่าสนใจ ปัจจุบันมีโปรแกรมจำพวก Office Template ทั้งหลายมาช่วยให้เราสามารถจัดทำรายงานไม่ว่าจะโดยโปรแกรม Word, Excel, Powerpoint ให้น่าสนใจมากขึ้น ลองใช้มันเพื่อให้เอกสารของคุณมีสีสันน่าสนใจมากขึ้น ไม่ใช่จะพิมพ์อะไรก็แบบธรรมดา สีสันมันเหมือนความตั้งใจที่จะนำเสนอที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์และพลังในการทำงานของคุณได้ แต่ก็อย่างเอาแต่ตกแต่งประดิดประดอยเอกสารงานของคุณจนไม่ได้งาน หยุมหยิมเอาแต่งดงามอย่างเดียวก็คงไม่ไหวนะครับ
2) ทักษะในการจัดการจัดเก็บข้อมูล เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมพบว่า พนักงานส่วนใหญ่ในหลายองค์การ ไม่ค่อยจะเน้นหรือให้ความสำคัญ นอกจากหน้าตาของเอกสารจะไม่น่าสนใจแล้ว ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการจัดเก็บมันอย่างเป็นระบบเท่าที่ควร ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะว่าท่านทั้งหลายต้องการแค่เนื้อหา หรือขี้เกียจไปสนใจในรายละเอียดกับมัน ผมยกตัวอย่างให้ท่านผู้อ่านฟังว่า เอกสารหลายชิ้นที่เคยผ่านตา ไม่มีแม้แต่ชื่อเอกสารด้วยซ้ำไปว่ามันคืออะไร เอาเนื้อหาเลย คนทั่วไปจะรู้หรือเปล่าครับว่ามันคือเอกสารอะไร ยิ่งตั้งชื่อไฟล์ไว้ยิ่งไปกันใหญ่ เช่น สมชายนะจ๊ะ หรือ งานพิมพ์หนูเองค่ะ ใครจะไปรู้ล่ะเนอะ
ที่ผมว่าไปนั้น ทักษะของการจัดโครงสร้างของไฟล์ที่เก็บสาร หรือที่เรียกกันกว้าง ๆ ว่าการบริหารงานเอกสาร ก็เลยเป็นเรื่องสำคัญครับ ผมเองมองว่า สำคัญยิ่งกว่าเรื่องพื้น ๆ ก็คือ ความสามารถในการใช้โปรแกรมเสียด้วยซ้ำ และดูเหมือนจะหาหน่วยงานที่จัดระบบงานเอกสารอย่างเนี๊ยบ ๆ ได้ยากเหลือเกิน ผมแนะนำให้ท่านไปลองดูในหน่วยงาน หรือลักษณะการจัดเก็บไฟล์ข้อมูลเอกสารของทุกท่านดูนะครับ ว่า สามารถสืบค้นได้ง่ายหรือเปล่า ไม่ใช่จากการสืบค้นของเรา แต่จากการสืบค้นของคนอื่น โดยลองสมมติว่า วันนั้น คุณไม่มีทำงานเพราะไม่สบาย หรือติดธุระใดใดก็ตามแต่ แล้วต้องบอกเพื่อนร่วมงานให้ค้นไฟล์เอกสารส่งให้หัวหน้างานของคุณ เพื่อนเค้าค้นหาได้ง่ายหรือเปล่า หากไม่ นั่นก็คือ คุณน่าจะต้องมาทบทวนวิธีการจัดเก็บเอกสารของคุณแล้วล่ะ !!
ในองค์การภาครัฐ หรือธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ต้องจัดการเก็บเอกสารจำนวนมหึมา เค้ามีการพัฒนาระบบการจัดเก็บเอกสารที่ดูดีมากทีเดียว ผมว่าในองค์การภาคเอกชนก็ไม่ต่างกันหรอกครับ เพียงแต่ท่านจัดเก็บมันในรูปไฟล์ในคอมพิวเตอร์มากกว่า แต่ด้วยความที่มันจัดเก็บง่าย ตั้งชื่อง่าย มันก็เลยกลายเป็นอะไรที่พลาดแบบรู้เท่าไม่ถึงความสำคัญ
แต่จะจัดเก็บเอกสารให้ง่ายและได้ผลนั้น ไม่มีอะไรที่มากไปกว่าการที่คนทำงานจะมีวินัยและทำตามแนวทางปฏิบัติครับ
คงต้องลองทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจังนะครับ และสำหรับพนักงานใหม่ขององค์การที่จะเริ่มเข้าไปอยู่ในองค์การใดก็ตาม อย่าเพิ่งไปคิดว่าจะปรับปรุงอะไรได้มากนัก รอสักพัก เริ่มจากการจัดการกับระบบการจัดเก็บเอกสารของคุณให้เป็นระบบระเบียบก่อนก็จะดีไม่น้อย ไว้สักระยะแล้วลองนำเสนอไอเดีย ปรึกษากับหัวหน้างานดู ก็จะเป็นประโยชน์ในการทำงานและภาพลักษณ์ที่ดีของคุณในสายตาของหัวหน้างานด้วย
3) ทักษะการดูแลแก้ไขเครื่องใช้สำนักงาน จำพวกเครื่องใช้สำนักงานที่เราใช้มันอยู่เป็นประจำ ได้แก่อะไรครับ เครื่องถ่ายเอกสาร Fax เครื่องคอมพิวเตอร์ เหล่านี้ เป็นเครื่องมือที่เราควรจะต้องรู้จักทั้งวิธีการที่จะใช้มันอย่างเหมาะสม แต่ไม่ต้องถึงกับลงลึกในเรื่องเทคนิคหรือการซ่อมเพราะคุณไม่ใช่ช่างแน่นอน เช่น กระดาษติดในเครื่องถ่ายเอกสาร ควรจะรู้ว่าเราจะเปิดฝาเครื่องอย่างไร จะดูว่าเอกสารติดอยู่ตรงไหน ซึ่งดูได้จากไฟสัญญาณที่แผงหน้าปัดของเครื่อง จะดึงเอกสารออกมาจากเครื่องอย่างไร ซึ่งหากคุณจนใจไม่รู้จริง ๆ อาจจะต้องสอบถามจากผู้รู้ล่ะครับ แล้วจำเอาไว้ เผื่อเวลาเกิดปัญหาอะไรจะได้จัดการกับมันได้ไม่ต้องคอยตามช่างหรือคนอื่นมาช่วยตลอด
อีกเรื่องที่สำคัญที่หลายคนไม่ค่อยสนใจคือ การรักษาความสะอาดอุปกรณ์เครื่องมือการทำงานของคุณเอง ซึ่งมันก็เหมือนทรัพย์สินที่บริษัทให้เรายืมใช้เพื่อการทำงานให้กับเขา แลกกับเงินเดือนค่าตอบแทนที่เขาจ่ายให้กับเรา และก็แน่นอนว่า บริษัทเขาก็อยากให้เราดูแลรักษาอุปกรณ์ที่เขาให้ยืมมาเยี่ยงที่เราดูแลเครื่องมืออุปกรณ์ของเราไม่มีผิด จริงมั้ยครับ แล้วทำไมเราจะไม่สนใจมันบ้างล่ะครับ
ในกิจกรรม 5 ส ก็รณรงค์และช่วยสร้างลักษณะนิสัยที่ดีงามเหล่านี้ได้ นี่งัยล่ะครับ องค์การทั้งหลายจึงอยากทำ 5 ส กันมาก แต่ก็น้อยองค์การเหลือเกินที่ 5 ส เป็นรูปเป็นร่างจริงจริงจังจัง หลายท่านถามผมว่า ทำไม 5 ส ถึงไม่ค่อยเวิร์คล่ะ ผมเองคิดว่า เพราะ ส ตัวที่ 5 ไม่ค่อยเกิด คนทำงานไม่ค่อยมีวินัยเท่าที่ควรนัก มันก็เลยเป็นระบบดีดีที่เกิดในญี่ปุ่น แต่มาตายในองค์การในบ้านเรา อย่างที่หลายท่านชอบเปรียบเทียบ
4) ทักษะทางด้านการทำงานกับเพื่อนร่วมงาน เรื่องนี้เป็นทักษะพื้นฐานด้านหนึ่งที่นายจ้างทั้งหลายอยากให้พนักงานมี ไม่มีนายจ้างคนไหนที่อยากรับคนทำงานที่ชอบทำตัวมีปัญหา หรือไม่ประสีประสากับสภาพแวดล้อมของการทำงานที่ต้องอยู่ร่วมกันกับคนอื่นเลย หรือถ้าต้องรับเข้ามาแล้ว นายจ้างทั้งหลายก็คงไม่อยากเก็บคนเจ้าปัญหาเหล่านี้ไว้ใกล้ตัวเช่นกัน การรู้จักและเรียนรู้เทคนิคการทำงานร่วมกันกับคนอื่นให้ได้ ฝึกฝน และทดลองปรับปรุงตัวเองเป็นระยะ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่นอกจากจะช่วยให้คุณสามารถทำงานเขากับคนอื่นได้แล้ว ยังเป็นทักษะที่ดีติดตัวคนทำงานอย่างเราด้วยนะครับ
องค์การจำนวนไม่น้อย ระบุคุณสมบัติในการรู้จักการทำงานเป็นทีมไว้ในคุณสมบัติที่ต้องการประกอบการรับสมัครงานไปเลย ผมคิดว่า น้อยองค์การที่จะสามารถประเมินคุณลักษณะการทำงานเป็นทีมที่แท้จริงออกมาได้ในกระบวนการของการรับสมัคร การทดสอบหรือแม้แต่กระบวนการของการสัมภาษณ์ ในเบื้องต้น คงจะประเมินได้แค่เพียงทักษะของการทำงานเป็นกลุ่ม หรือการทำงานร่วมกันกับคนอื่นเป็นพื้นฐานเท่านั้นล่ะครับ เพราะการทำงานเป็นทีม มันมีอะไรให้ต้องฝึกฝน เรียนรู้ลึกซึ้งไปกว่าการทำงานแบบกลุ่มอีกมากโข ผมไม่ขอเจาะลงรายละเอียดในที่นี้ เอาไว้มาว่ากันเป็นชุด ๆ เลยจะดีกว่า ว่ากันไปแล้ว ขอบเขตของทักษะที่คุณควรจะต้องสร้างเสริมตัวเองไว้ให้ได้ให้ดีก็คือทักษะของการทำงานร่วมกับคนอื่น และรู้จักเทคนิควิธีในการผูกใจเพื่อนร่วมงาน หรืออะไรประมาณนี้ก็เหลือเฟื้อแล้วครับ เพราะรู้ว่าจะต้องรู้นั้นไม่สำคัญเท่ากับรู้แล้วทำตามที่รู้นะครับ
5) ทักษะเชิงคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ นี่ผมไม่ได้หมายถึงผ่านการเรียนรายวิชาเหล่านี้ในระดับมหาวิทยาลัยหรอกครับ แต่ผมหมายถึงการมีพื้นฐานของความคิดเชิงตรรกะ มีเหตุผล การรู้จักพินิจพิเคราะห์ความน่าจะเป็น ซึ่งเป็นเรื่องทางศาสตร์หรือ Science ซึ่งในระดับปริญญาตรี เราท่านคงผ่านกันมาบ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะในเรื่องระเบียบวิธีวิจัย ซึ่งก็น่าเสียดายครับที่แม้แต่อาจารย์ผู้สอน (จำนวนไม่น้อย) เอง ก็ไม่ใคร่จะรู้ว่าลูกศิษย์ของตัวจะนำเอาวิธีคิดเชิงศาสตร์แบบนี้ ไปใช้กับการทำงานได้อย่างไร หรือจะสร้างพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องของเขาเพื่อเอาไปปรับประยุกต์กับการทำงานได้แบบไหนจึงจะเหมาะสม นักศึกษาทั้งหลายที่จบมาในระดับปริญญาตรี โดยเฉพาะในสายสังคมศาสตร์จึงแทบจะเรียกว่า รู้แคบมาก กับวิธีคิดเชิงระบบ วิธีคิดเชิงตรรกะ อะไรทำนองนี้ พอมาคุยอะไรกันในกรอบกว่าง ๆ เรื่องนโยบาย วิสัยทัศน์ การวางกลยุทธ์ ก็เลยมืดสนิท คิดไม่ออกไปเสียขนาดนั้น แบบนี้ก็พบเห็นได้ไม่น้อย
6) ทักษะด้านการบริหารธุรกิจ โอ พระเจ้า !! จะต้องมาพูดทำไมหรือสำหรับทักษะนี้ เพราะฉันจบมาทางบริหารธุรกิจ ผมขอตอบว่า ดีครับที่ท่านทั้งหลายจบมาทางด้านการบริหารธุรกิจ ไม่ว่าจะสาขาใด เช่น การจัดการทั่วไป การตลาด หรือสาขาที่มีใหม่ ๆ เช่น การจัดนวัตกรรม หรือสาขาใดก็ตาม ล้วนแต่จะต้องผ่านการเรียนรู้รายวิชาต่าง ๆ มากมี แต่ทักษะที่ผมกำลังจะว่านี้ หมายถึงพวก Know How ที่เป็นเทคนิควิธีทางการจัดการ Best Practices ของบริหารจัดการทางธุรกิจที่เป็นกรณีศึกษาขององค์การต่าง ๆ ต่างหากครับ ท่านผู้อ่านที่เป็นน้องใหม่ หรือขาเก๋าทั้งหลายขององค์การ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ไม่ว่าจะด้วยการอ่านหรือการเข้ารับการฝึกอบรมมาบ้างหรือยัง ความรู้ และทักษะการคิดเหล่านี้เอง เป็นพื้นฐานที่ดีของการเติบโตในหน้าที่การงานของคุณเลยล่ะครับ
ทักษะของการบริหารธุรกิจอันนึงที่สำคัญและผมมองว่าเกี่ยวเนื่องกัน แต่เป็นเรื่องความความคิดได้แก่ ทักษะการคิดของการเป็นผู้ประกอบการ (Sense of Enterprenuer) ที่ผมขอเรียกมันว่าทักษะเพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยพันธุกรรมหรอกครับ มันเติบโตในหัวจิตหัวใจคนทำงานเพราะการฝึกคิด ใคร่ครวญและเรียนรู้เทคนิควิธีการเพื่อให้มองอะไรแบบผู้ประกอบการเป็นด้านหลัก ซึ่งไม่ใช่ว่า ลูกของเจ้าของบริษัทจะมีทักษะของการคิดแบบนี้เสมอไปจริงมั้ยครับ ทักษะการคิดแบบนี้ พูดเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า เป็นวิธีคิดที่มองว่า จะทำงานแม้เฉพาะในหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองก็ทำให้ดี อย่างให้พลาด อย่างให้ขาดทุน โดยมองเสมือนว่าตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งหากเกิดความผิดพลาดมาแล้ว มันจะส่งผลเสียกับ ซึ่งน่าเสียดาย !! แหม เราลืมโทรแจ้ง ลูกค้าไม่ได้รับเมล์ที่เรารับปากว่าจะส่งให้ แล้วลูกค้ายกเลิกนัดกับเรา พลาดการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้า มองจากมุมพนักงานที่เป็นลูกจ้างแบบทำไปวันวันก็คงไม่มีอะไรมากหรอก แต่หากมองจากสายตาของเจ้าของธุรกิจแล้ว น่าเสียดาย และเสียหายมากเลยล่ะครับ
7) ทักษะภาษาต่างประเทศ basic และอินเตอร์ที่สุกก็คือ ภาษาอังกฤษครับ ซึ่งก็ไม่จำเป็นที่ต้องถึงระดับพระกาฬเหมือนคนที่เขามีโอกาสเรียนจบมาจากเมืองนอก เอาเป็นว่า ลูกชาวนาชาวสวนอย่างท่านอย่างผม พยายามขวนขวายเรียนรู้ภาษาอังกฤษพื้นฐานของการทำงานก็ใช้ได้แล้วครับ ฝรั่งพูดก็ฟังพอเข้าใจ พอสื่อสารขั้นต้นได้ อ่านได้ เข้าใจได้ พูดคุยได้บ้าง แต่หากถึงระดับใช้งานได้ดีนั้นก็ย่อมดีมาก และที่น่าสนใจคือ มันช่วยเพิ่มมูลค่าและบวกเงินเดือน โอกาสที่ดีในหน้าที่การงานของคุณเสียด้วยสิ
บางท่านบอกว่า ฉันไม่สนหรอกนะ เพราะทำงานกับบริษัทคนไทย เติบโตในบริษัทนี้ล่ะ ไปสนอย่างอื่นดีกว่า ก็ไม่ผิดและไม่ว่ากันครับ แต่หากท่านอยากท้าทายความสามารถไปทำงานในบริษัทข้ามชาติ บริษัทชั้นนำทั้งหลาย ทักษะอันนี้ มีประโยชน์อย่างมาก และแน่นอนครับว่า ค่าตอบแทนเงินเดือนต่าง ๆ ของบริษัทที่ว่านี้ สูงกว่าบริษัทธรรมดาคนไทยมากมายนัก
8) ทักษะที่ได้รับจากการฝึกอบรม นี่งัย ปัญหาหนักอกของคนทำงานจำนวนไม่น้อยที่ได้รับการฝึกอบรมจากบริษัทที่เคยร่วมงาน หรือการฝึกอบรมระหว่างการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ หรือฝึกงานมาแล้ว
ทักษะการฝึกอบรมที่ท่านทั้งหลายคุ้นเคย และควรให้ความสำคัญพัฒนาเป็นทักษะความชำนาญก็เรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพของเรานั่นเองครับ เช่น ท่านผู้อ่านทำงานในสายงานขายหรือการตลาด ย่อมผ่านการฝึกอบรมด้านนี้มา ไม่ว่าจะในสำนักงาน หรือออกไปฝึกอบรมข้างนอกมาไม่มากก็น้อย บางคนในรอง 3 ปีที่ผ่านมาอาจจะมากกว่า 8 หลักสูตร คำถามของผมก็คือ คุณได้ทักษะอะไรบ้าง ลองมาพูดให้ฟังสิครับ....
น่าเศร้าใจที่คนทำงานจำนวนไม่น้อย ลืมไปแล้วว่าเนื้อหาที่เคยได้รับการอบรมคืออะไร และที่น่าเศร้ามากกว่าก็คือ คนอีกกลุ่มหนึ่ง แทบจะไม่เคยต่อยอดทักษะความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมนั้นเลย...
การฝึกอบรมส่วนใหญ่ให้อะไรครับ....
ให้แนวทางการทำงาน เทคนิควิธีของการทำงานหรือในเรื่องนั้น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลนั่นเอง เราฝึกอบรม ไม่ว่าจะด้วยเครื่องมืออะไรต่างๆ ก็ตามที่บริษัทใช้ก็ล้วนอยากให้คนทำงานสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่น่าเสียดายที่คนที่มีโอกาสเข้ารับการฝึกอบรมจำนวนไม่น้อย ไม่ได้ให้ความสำคัญมันเท่ากับละครน้ำเน่าที่ฉายตอนค่ำเสียอีก ไม่เคยเก็บบทเรียนความรู้ที่ได้รับจากวิทยากร ซึ่งส่วนใหญ่ก็ระดับพระกาฬทั้งนั้น ลองคิดดูสิครับ วิทยากรโนเนมไม่มีชื่อเสียงเลย บริษัทไหนจะเสียเงินเชิญมาเป็นวิทยากรฝึกอบรมให้พนักงานล่ะครับ เรื่องของเรื่องแบบนี้เอง การฝึกอบรมทั้งหลายจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่ท่านมักจะลืมไป สุดท้ายเวลาสัมภาษณ์งานก็แทบจะจำไม่ได้ว่าผ่านการฝึกอบรมอะไรมาบ้าง หรือการฝึกอบรมที่ผ่านมาให้ประสบการณ์ความคิดอะไรบ้าง ตรงกันข้าม หากถามว่าตอนนี้ละครเรื่องบ่วงหงษ์ถึงไหนแล้ว และมีแนวโน้มจะเป็นอย่างไร ตอบได้แบบมันควัน....อะไรจะปานนี้....!!!
ผมอยากจะบอกว่า แต่ก็ไม่ได้ให้ท่านตึงมากเกินไป ผ่อนคลายบ้าง แต่ต้องรักษาระดับคุณค่าของท่านไว้ให้มั่น ในโลกนี้มีอะไรให้ท่านเรียนรู้อีกมาก ใช้เวลา 24 ชั่วโมงที่มีเท่ากันให้คุ้มค่า สร้างสรรค์บ่มเพาะอะไรที่เป็นประโยชน์กับการทำงานจะดีกว่าครับ
9) ทักษะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ทักษะแบบนี้ ไม่ต้องอธิบายเชื่อว่าทุกท่านพอที่จะทราบ แต่ที่สำคัญนั้น เป็นเรื่องที่ผมขอเน้นว่าท่านได้รู้เทคนิควิธีของการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในแต่ละสถานการณ์อย่างไร
เอาง่าย ๆ สมมติว่า ท่านไปสัมภาษณ์งาน แล้ว คนที่สัมภาษณ์ถามว่า เวลาลูกค้าวีนแตก ทั้งที่เราไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่จะมารับคำด่าจากลูกค้า คุณจะทำอย่างไร หากคุณจะตอบเขา จะตอบว่า บอกให้ลูกค้า รอสักครู่ ฉันไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ทราบเรื่องนี้ ตอบแบบนี้ได้หรือเปล่าครับ หากคุณตอบว่าไม่ คุณจะตอบแบบไหน
แล้วหากมีกรณีอื่น ๆ อีกล่ะ คุณมั่นใจแค่ไหนว่าคุณจะตอบคำถามสัมภาษณ์นั้นได้ดี
ลองแค่นี้ก็พอจะได้ทราบทักษะของการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแล้วครับ
ขอทิ้งท้ายในประเด็นว่า จริง ๆ นั้น นายจ้างอยากได้ทักษะอะไรจากเรามากมายกว่านี้อีกหรือเปล่า ผมเองเห็นว่า มีอีกเพียบเลยครับ แต่ผมเองมองว่า ทักษะเหล่านี้ล่ะ พื้นฐานที่สุด องค์การหลายแห่ง มองทักษะของคนที่อยากได้ทั้งในแง่ทักษะการทำงาน ทักษะการบริหาร ทักษะการคิด และทักษะของการใช้ชีวิตในการทำงาน มากมายก่ายกอง สรุปออกมาเป็น competency และสร้างกรอบตัววัด competency ออกมาเป็นแบบทดสอบ และแบบสัมภาษณ์พนักงานเพื่อเข้าร่วมงาน หรือกรองออกมาเพื่อสร้างหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาพนักงาน
แต่...อย่าได้ชะล่าใจนะครับว่า ถึงอย่างไรองค์การก็จะเติมเต็มตัวฉันด้วยการฝึกอบรมหรือพัฒนาด้วยวิธีการอื่นใด ฉันก็อยู่ของฉันแบบนี้แหละ ที่ว่าอย่างได้ชะล่าใจนั้น เพราะองค์การทั้งหลาย จะมุ่งพัฒนาพนักงานเฉพาะแต่ที่เขาอยากจะได้ไว้ร่วมงานด้วยหรือเป็นคนที่เขามองแล้วว่ามี โอกาสก้าวหน้าและสร้างผลงานให้กับองค์การได้มากกว่า
เมื่อใดก็ตามที่คุณจนแล้วจนรอดก็ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของการพัฒนาด้วยการฝึกอบรมหรือวิธีอื่นใด เมื่อนั้น อย่าได้คิดว่าองค์การมองว่าคุณเก่งแล้วนะครับ องค์การจะกลับมองว่า คุณเป็นคนที่ไม่มีค่าหรือเปล่า ลองใคร่ครวญสักนิดนะครับ
ทำไมหรือ .....เพราะเงินเพื่อใช้ในการฝึกอบรมขององค์การมีจำกัดงัยล่ะครับ จะฝึกอบรมพัฒนาใครทั้งที มันต้องหวังผลกันบ้างล่ะ หมดยุคที่องค์การทั้งหลายจะหว่านเงินฝึกอบรมไปโดยไม่เน้นว่าจะได้อะไรกลับมาแล้วนะครับ
เวทีนี้ ใครพร้อมย่อมได้เปรียบ......ไม่เชื่อก็ต้องทดลองคิดดูล่ะครับ .....