คุณค่าของคนอยู่ที่สิ่งใด?
คำถามนี้อยู่ในใจผมมาตลอด ตั้งแต่จำความได้ ตอนยังเป็นเด็ก จนเติบโตขึ้นและได้ประสบพบเจอเหตุการณ์ที่เป็นความทรงจำอันเลวร้ายกับตนเอง คำถามนี้มันจึงดังก้องขึ้นมาในใจผมอีกครั้ง เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นตอนที่ผมพาคุณพ่อซึ่งกำลังป่วยหนักเนื่องจากอาการของโรคเบาหวานกำเริบ ผมพาคุณพ่อไปที่โรงพยาบาลรัฐที่ผมมีความเชื่อมั่นแห่งหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างจะไกลจากบ้านที่ผมพัก ในวันนั้นคนไข้เยอะมาก สังเกตจากรถเข็นที่เข็นผู้ป่วยมานอนรอหมอจนล้นออกมานอกห้องฉุกเฉิน ผมพาคุณพ่อไปถึงโรงพยาบาลตั้งแต่หกโมงเช้า จนสิบโมงก็ยังไม่มีวี่แววจะได้ตรวจรักษา คงมีแต่เจ้าหน้าที่มาคอยดูแล และใส่น้ำเกลือให้ (เนื่องจากตอนนั้นอาการคุณพ่อเริ่มแย่ลงมาก พูดไม่ได้และเริ่มจำอะไรไม่ได้แล้ว) ผมไม่แน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่ที่รับรู้ได้คือไม่ดีแน่นอน รอจนน้ำเกลือหมดขวดมีหมอมาตรวจแล้วก็เขียนใบสั่งยา แล้วให้กลับไปพักที่บ้าน ผมบอกหมอว่าอาการของพ่อเป็นถึงขั้นนี้ถ้าให้กลับไปพักที่บ้านเกรงว่าจะไกลหมอเกินไป และขอร้องให้คุณหมอรับไว้เป็นผู้ป่วยใน แต่สักพักก็ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า ไม่มีห้อง ไม่มีเตียง ต้องรอตามคิวหรือไม่ก็ต้องไปหาโรงพยาบาลอื่น? อารมณ์และความรู้สึกของผมเวลานั้นบอกได้อย่างเดียวเลยว่าหดหู่และท้อแท้ใจมากๆ จากนั้นผมกับน้องชายจำใจต้องพาพ่อกลับบ้านในอาการที่ท่านจำอะไรไม่ได้แล้วแม้กระทั่งเวลาขับถ่าย ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนผมตั้งตัวและทำใจยอมรับได้ไม่ทัน เช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้พาท่านไปโรงพยาบาลของรัฐอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆบ้าน พอคุณหมอเห็นอาการของพ่อคุณหมอก็รีบรับคุณพ่อไว้รักษาทันที แต่เนื่องจากตอนนั้นอาการของพ่อทรุดหนักมากจึงได้แต่รักษาไปตามอาการเท่านั้น หลังจากนั้นไม่กี่วันคุณพ่อก็จากพวกผมไป!
ในใบมรณะบัตรของพ่อบันทึกถึงสาเหตุการเสียชีวิตไว้ว่า ติดเชื้อในกระแสโลหิต ความจริงแล้วผมไม่ได้ติดใจในสาเหตุของการเสียชีวิตของพ่อ แต่ผมมานั่งทบทวนและคิดดูว่ามันไม่ได้เป็นอุบัติเหตุนะ เราก็รับรู้ได้ล่วงหน้านะ หรือเราคิดผิดตั้งแต่แรกที่เชื่อมั่นในโรงพยาบาล(ที่แรก)จากภาพลักษณ์ภายนอกว่าเป็นที่พึ่งให้กับคนหาเช้ากินค่ำได้ ถ้าเรารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ยอมกู้หนี้ยืมสินพาพ่อไปรักษาโรงพยาบาลของเอกชนตั้งแต่แรกคุณพ่อคงจะไม่เป็นเช่นนี้ หรือถ้าผมเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมเขาคงไม่ปฏิบัติอย่างนี้กับผม
ตามที่ผมเคยได้รับรู้มาว่าในระบอบประชาธิปไตย หนึ่งเสียงเท่าเทียมกันตามกฎหมาย แต่ตอนนี้ผมไม่แน่ใจแล้วว่าจะเท่าเทียมกันทางสังคมด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะในสังคมไทย?ซึ่งทุกวันนี้จะดูเหมือนว่าค่านิยมในสังคมมีความเปลี่ยนแปลงไปมองว่า คนบางคนมีค่ามากกว่าคนอื่น พฤติกรรมของคนในสังคมจึงให้คุณค่าของคนเฉพาะคนบางคนเท่านั้น ทำให้เกิดการเหลื่อมล้ำกันทางสังคมและไม่เคารพในสิทธิความเป็นมนุษย์กันอย่างที่ควรจะเป็น ในความเป็นจริงแล้วค่าของคนอยู่ที่ใด?
· นักการเมืองอาจมองค่าของคนที่คนของใคร
· คนมีชาติตระกูลอาจมองค่าของคนที่ชื่อเสียง ความมีหน้าตาในสังคม
· ข้าราชการอาจให้ค่าของคนที่ยศและบรรดาศักดิ์
· นักธุรกิจอาจให้ค่าของคนที่ฐานะเงินทอง
· นักแสดงอาจให้ค่าของคนที่รูปร่างหน้าตา , การสร้างภาพ
· คนที่เป็นหัวหน้าอาจให้ค่าของคนที่การทำตามคำสั่งจนเป็นที่พอใจ
· ศิลปินอาจให้ค่าของคนที่คุณค่าภายในจากสุนทรียภาพ
· คุณครูอาจให้ค่าของคนที่ความเป็นคน
· นักวิชาการอาจให้ค่าของคนที่ความมีเหตุมีผล , การใช้ตรรกะ
· นักจิตวิทยาอาจให้ค่าของคนที่อารมณ์และจิตใจ
· คุณหมออาจให้ค่าของคนที่สุขภาพร่างกาย
· นักกีฬาอาจให้ค่าของคนที่ความสามารถในทักษะ
· นักดนตรีอาจให้ค่าของคนที่ความสามารถในสุนทรียภาพทางดนตรี
· นักปรัชญาอาจให้ค่าของคนที่ความเป็นจริงในตัวตน
ทั้งหมดเป็นมุมมองในแต่ละอาชีพ แต่ก็ต้องยอมรับนะครับว่ามันเป็นความจริงในบริบทรอบตัวเรา หลายคนก็บอกผมว่าทำใจซะเถอะและรับมันให้ได้แล้วทำอย่างที่คนส่วนใหญ่เขาทำกันจะดีกว่าฝืนไปก็ไม่มีประโยชน์ไม่เป็นผลดีต่อตัวเองด้วย ถ้าย้อนกลับไปตอนเด็กๆผมอาจคิดและทำอย่างที่เขาบอกนะ แต่มาถึงช่วงครึ่งค่อนชีวิตความเป็นมนุษย์แล้วถ้ายังไม่สามารถปรับเปลี่ยนการกระทำให้มีคุณค่าแก่ชีวิตตนเองได้ ผมคิดว่าอาจทำให้เราเสียโอกาสในความโชคดีตรงนี้ เราอาจจะไม่มีโอกาสกลับมาแก้ตัวอีกแล้วก็ได้ใช่ไหม? ใครจะไปรู้
ต่อปนี้เป็นมุมมองของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ธรรมดา ถ่ายทอดผ่านผลงานโฆษณาของไทยประกันชีวิต ผมชอบปรัชญาแม่ต้อยนะที่เขากล่าวไว้ว่า ชีวิตที่มีค่า ไม่ใช่ชีวิตที่ร่ำรวย มีเกียรติ หรือเพื่ออายุยืน แต่ชีวิตที่มีค่าคือชีวิตที่ตัวเราเป็นคนมีคุณค่า และทำให้ชีวิตคนอื่นมีค่า ได้ดูแล้วอดน้ำตาซึมไม่ได้ มันได้ข้อคิดหลายอย่าง โดยเฉพาะตรงที่บอกว่า ชีวิตที่มีค่าคือชีวิตที่ตัวเราเป็น คนมีคุณค่า และทำให้ชีวิตคนอื่นมีค่า นี่คือปรัชญาของหญิงคนหนึ่งที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเกียรติยศ ไม่เคยสัมผัสถึงความร่ำรวย แต่สิ่งที่อยู่ในใจเธอนั้นมั่งมีไปและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ยิ่งใหญ่ ในสิ่งที่เธอทำให้ชีวิตเด็กๆที่ถูกทิ้งขว้าง กลับมามีชีวิตที่มีค่าอยู่ในสังคมได้ระดับหนึ่ง ยอดเยี่ยมมากขอชื่นชมจากใจจริงครับ
อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องจริงที่ผมอยากถ่ายทอดให้ได้รับรู้กันมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส ครั้งนี้ได้โอกาสขออนุญาตนำเสนอเลยแล้วกัน เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมาผมกลับจากการไปเยี่ยมคุณพ่อของภรรยาผมที่โรงพยาบาลแถวบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสามทุ่มกว่าเห็นจะได้ ผมกับภรรยาเดินจากโรงพยาบาลเพื่อที่จะมาขึ้นรถกลับบ้าน ระหว่างที่เดินมาบริเวณนั้นตอนช่วงกลางคืนเขามีตลาดนัดมีผู้คนเดินจับจ่ายใช้สอยกันมากมาย ภรรยาผมจึงชวนผมเดินดูของก่อน และระหว่างที่เดินดูของอยู่นั้นผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งผมยาวสวมกางเกงขาสั้นขาดๆและเสื้อยืดสีขาวนั่งรับเขียนภาพอยู่ โดยในตอนนั้นมีคนมานั่งเป็นแบบให้วาดภาพอยู่ด้วย ผมกับภรรยาเดินไปหยุดดูแล้วนึกได้ว่าเรามีรูปของลูกสาวอยู่ในกระเป๋านี่ เอามาให้เขาวาดลงบนกระเป๋าผ้าแล้วเอากลับไปให้ลูกใช้ดีกว่าเขาจะได้ภูมิใจที่เห็นรูปของเขาเวลาใช้กระเป๋าใบนี้ ซึ่งราคาค่ากระเป๋ารวมทั้งค่าวาดรูปลงไปแล้วอยู่ที่ ๑๕๐ บาท จากนั้นผมก็เอารูปลูกสาวให้เขาและไปเดินดูของที่อื่นก่อน เนื่องจากตอนนั้นยังมีคิววาดรูปให้ลูกค้าคนอื่นอยู่ เขาก็นัดผมประมาณสี่ทุ่มให้มารับของ
หลังจากเดินดูของเรียบร้อยเวลาเกือบประมาณสี่ทุ่ม ผมกับภรรยาเดินกลับไปที่ร้านเพื่อรับกระเป๋าระหว่างนั้นเขากำลังนั่งวาดอยู่พอดีผมจึงไปยืนดูข้างๆและสังเกตเห็นว่าเขาทำงานอย่างมีสมาธิมาก มือนิ่งใช้ปากกาเคมีเส้นใหญ่สีสันต่างๆลงเส้นลงลายโดยไม่มีความลังเล ผมนึกอยู่ในใจว่าคนที่เป็นศิลปินนี่เขาจะต้องฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจมาอย่างดีมากซึ่งตรงข้ามกับภาพลักษณ์ภายนอกของเขาจริงๆ การพูดการจาก็สุภาพเรียบร้อย ระหว่างลงสีเก็บรายละเอียดจนจะเสร็จแล้วเกิดปัญหาหมึกสีที่ลงนั้นซึมไปยังพื้นที่ในส่วนอื่นที่เขาไม่ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น ซึ่งผมก็มองดูแล้วว่ามันสามารถแก้ไขได้นะ แต่เขาหันมาบอกผมว่าเขาต้องการจะวาดให้ผมใหม่เลยขอให้ผมรออีกครึ่งชั่วโมงได้ไหม ผมก็บอกเขาว่าผมไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องนั้นเลยเพราะเท่าที่ผมดูแล้วมันก็ไม่ได้ผิดพลาดหรือดูไม่ดีอะไรมากมาย ผมยินดีที่จะจ่ายนะ (ผมคิดว่าสิ่งที่ผมได้รับมันก็คุ้มค่ากับราคาแล้ว) แต่เขาบอกผมว่า เขารู้สึกไม่ดีกับการได้มาแบบไร้คุณค่า ผมฟังแล้งอึ้งไปพักหนึ่งก็ยังไม่ค่อยเขาใจคิดว่าเขาโกรธผม จนกลับไปถึงบ้านค่อยๆมาทบทวนเหตุการณ์เพื่อบันทึกลงในสมุดความทรงจำของผม ก็คิดได้ว่า คุณค่าที่พี่คนเขียนภาพเขาหมายถึงคือ คุณค่าของตัวเขา ไม่ใช่การตีค่าจากเงิน ๑๕๐ บาท เป็นไงครับอ่านแล้วรู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่า?
มีคนอีกมากมายครับที่แต่งตัวดีภาพลักษณ์เยี่ยม บุคลิกภาพดูดี และตีค่าของตัวเองที่วัตถุเงินทอง ทำงานแบบไร้คุณค่าโยนแต่สิ่งที่ไม่ดีให้กับผู้อื่น เอาแต่สิ่งดีให้กับตัวเอง รู้ว่าผิดแต่พยายามทำให้ถูกไม่คิดที่จะแก้ไขปรับปรุง ที่สำคัญไม่คิดที่จะเริ่มต้นใหม่ในสิ่งที่ตนเองกระทำไปแล้วรู้ว่ามันผิด เพียงเพราะไปยึดคนส่วนใหญ่เป็นสรณะ คงพอจะรวบรวมองค์ความรู้กันได้แล้วนะครับว่า คุณค่าของคนอยู่ที่สิ่งใด....