Mozart Effect กับการสร้างอัฉริยะภาพของบุคคล
ที่มาที่ไปของ Mozart Effect
Mozart Effect คือ ผลงานวิจัยจากนักวิจัยจำนวนมากที่ยืนยันผลออกมาอย่างสอดคล้องกันว่า เสียงดนตรี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งดนตรีของโมซาร์ทนั้น สามารถจะก่อให้เกิดพัฒนาการระยะสั้นของประสิทธิภาพทางจิตบางประเภท เมื่อมีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสาร Nature ในปี ค.ศ. ๑๙๙๓ ซึ่งได้กล่าวถึงวิธีการทดลองโดยการวางเงื่อนไขอย่างง่ายๆ ด้วยการแบ่งเด็กออกเป็น ๓ กลุ่ม และให้แต่ละกลุ่มฟังดนตรีที่แตกต่างกัน ๓ รูปแบบ กล่าวคือ กลุ่มที่ ๑) ดนตรีโซนาต้าของโมซาร์ท ,กลุ่มที่๒) ดนตรีประเภทบรรเลงเบาๆผ่อนคลายคล้ายกับที่เปิดตามสปา และ กลุ่มที่๓) ความเงียบสงบ หลังจากนั้นให้เด็กๆทำแบบทดสอบการใช้เหตุผลในเรื่องมิติของพื้นที่ผลที่ได้ก็คือ ดนตรีของโมซาร์ทจะส่งผลให้ค่าคะแนนของเด็กๆกลุ่มทดลองคะแนนสูงกว่าเด็กกลุ่มที่ฟังดนตรีแบบอื่นๆราว ๘-๙ แต้ม หลังจากผลการวิจัยนี้เผยแพร่ออกไปทำให้เกิดกระแส การตื่นและเห่อโมซาร์ทกันยกใหญ่ จนยอดขายซีดีพุ่งพรวด และเกิดอัลบั้มรวมเพลงโมซาร์ทประเภทที่บอกใบ้ด้วยชื่ออัลบั้ม ทำนองว่า ฟังแล้วจะฉลาดขึ้นอย่างมากมาย ดนตรีของโมซาร์ทที่เดิมเป็นแนวคลาสสิก อยู่ๆก็กลายเป็น ดนตรีแนวป๊อบ ขึ้นมาโดยผ่านวัฒนธรรมการเสพแบบ Pop Culture อย่างน่าทึ่ง
หลายคนพอได้ยินเรื่องนี้ โดยเฉพาะคุณแม่ทั้งหลายอาจมีความอยากที่จะรีบวิ่งไปซื้อซีดีของโมซาร์ทมาให้ลูกๆฟังกันเลยทีเดียว เนื่องจากผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ออกมาแล้วผู้คนทั้งหลายต่างพากันตีความ อนุมานกัน แบบง่ายๆ แล้วสรุปว่า ฟังโมซาร์ทแล้วจะฉลาดขึ้น ซึ่งเป็นการสรุปที่อาจเห็นได้ว่าเป็นความวิบัติในการใช้เหตุผลอย่างมาก เป็นการสรุปแบบผิดไปจากกรอบแนวคิดในงานวิจัย ที่เรียกว่า Misconception นั่นเอง
ข้อมูลการสืบค้นที่ลึกลงไปค้นพบว่า ที่มาของคำว่า Mozart Effect เป็นคำที่คิดขึ้นโดย อัลเฟรด เอ. โทมาทิส ซึ่งเป็นนักวิจัยชาวฝรั่งเศส โดยเขาได้ใช้ดนตรีของโมซาร์ทเพื่อกระตุ้นการฟัง อันส่งผลให้สามารถเยียวยาอาการผิดปกติบางอย่างทางจิตได้ ซึ่งก็ไม่ได้สอดคล้องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว กับความเชื่อที่ว่า ฟังดนตรีของโมซาร์ทแล้วจะทำให้ฉลาดขึ้น ในความเป็นจริงแล้วหากใช้วิจารณญาณในการับรู้ข้อเท็จจริง ไม่ใช่ว่าผลของงานวิจัยนั้นไม่ถูกต้อง แต่เราต้องมองดูและฟังข้อเท็จจริงต่างๆด้วยใจ แล้วจะพบเองว่า ผลของงานวิจัยนั้นจะบ่งชี้ในเฉพาะบริบทนั้นๆ ผลการวิจัยไม่ได้บอกว่าฟังเพลงของโมซาร์ทแล้วไอคิวจะสูงขึ้นโดยทั่วไป แต่จะสูงขึ้นเฉพาะเวลาทำแบบทดสอบที่เกี่ยวกับเรื่องมิติของพื้นที่เท่านั้น
แต่สิ่งที่ผิดมากๆก็กลับกลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องได้ถ้าคนส่วนใหญ่เห็นว่ามันถูก และธรรมชาติของสิ่งที่ผิดนั้นมักจะแพร่กระจายได้รวดเร็วเสมอ เมื่อคอลัมนิสต์ของนิวยอร์กไทม์ส เขียนรายงานคอลัมน์และกล่าวถึงผลงานวิจัยนี้ขึ้นมา หลังจากการนำเสนอครั้งนั้นซึ่งมีหลักฐานทำให้น่าเชื่อถือได้ว่า โมซาร์ท สามารถโค่นบัลลังก์ เบโทเฟน ลงไปได้ ในฐานะ นักประพันธ์เพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
เรื่องยังไม่จบแค่นั้น ต่อมาในปี ค.ศ.๑๙๙๗ มีสิ่งที่มาเสริมความเชื่อมั่นตามกระแสของ Mozart Effect โดยหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Mozart Effect ของ ดอน แคมป์เบลล์ โดยเนื้อหาจะกล่าวถึงเรื่องพลังของดนตรีที่จะเยียวยาร่างกาย ทำให้จิตใจเข้มแข็ง และปลดล็อคจิตวิญญาณอันสร้างสรรค์ เนื้อหาตอนหนึ่งในหนังสือบอกไว้ว่า การฟังดนตรีของโมซาร์ท โดยเฉพาะเปียโนคอนแชร์โต จะช่วยเพิ่มไอคิวให้คนเราได้ชั่วคราว ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องตื่นตระหนกระลอกใหม่ ผู้ที่ได้ประโยชน์เต็มก็คงเป็น ดอน แคมป์เบลล์ เพราะนอกจากจะได้ทำหนังสือต่อเนื่องออกมาแล้วยังได้ทำซีดีเพลงของโมซาร์ทออกมาอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่มาเสริมกระแสความเชื่อมั่นครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นระดับประเทศ เมื่อ เซลล์ มิลเลอร์ ผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย ออกมาประกาศว่าจะใช้งบประมาณปีละกว่าหนึ่งแสนเหรียญ เพื่อซื้อซีดีเพลงคลาสสิกให้ทารกที่เกิดใหม่ในจอร์เจียทุกๆคนเป็นนัยว่าจะทำให้เด็กมีความฉลาดขึ้น โดยเขาพูดในทำนองว่าเด็กจะใช้เหตุผลได้ดีขึ้น ทำให้มีความสามารถด้านคณิตศาสตร์ , วิศวกรรมศาสตร์ หรือแม้กระทั่งความสามารถในการเล่นหมากรุกดีขึ้น
วิพากษ์กระแส Mozart Effect
จากสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นน่าจะทำให้โมซาร์ทมีความชื่นชมยินดีในสิ่งที่เขาได้สร้างสรรค์ผลงานออกไปให้กับมนุษยชาติ หรือ อาจจะถึงกับหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ก็ไม่ได้ เพราะคุณค่าในดนตรีของเขา ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในฐานะที่มันเป็น ดนตรีบริสุทธิ์ ถ้ามองด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสุนทรียศาสตร์ ดนตรีของโมซาร์ทส่วนใหญ่ ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อ รับใช้ สิ่งใดๆ แต่มันเป็นดนตรีที่มีความงดงามและมีคุณค่าในตัวของมันเอง หรืออาจกล่าวได้ว่า มันเป็นอย่างนั้นก็เพราะมันเป็นอย่างนั้นของมันเอง ดนตรีส่วนใหญ่ของโมซาร์ทไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อจูงใจใครให้เข้าถึงปรัชญาอันสูงส่ง ไม่ได้วาดภาพเพริศแพร้วพริ้งพรรณรายชวนให้ลุ่มหลง ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดความฮึกเหิมรักชาติ ที่สำคัญดนตรีของโมซาร์ทก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อสร้างความเป็น อัจฉริยะ ให้กับใครด้วย
ความอัจฉริยะของบุคคลที่อยู่บนพื้นฐานอย่างปราศจากสุนทรียภาพแห่งชีวิต เป็นอัฉริยะที่สร้างได้โดยง่าย เพราะส่วนใหญ่นั้นจะมุ่งหวังกันแต่สิ่งที่เป็นเปลือกนอก มีแต่ความปรารถนาแบบหยาบๆโดยเฉพาะวิถีของคนส่วนใหญ่ในสังคมสะท้อนให้เห็นถึงวิธีเลี้ยงลูกแบบยัดเยียด อยากให้ลูกเป็น เจ้าคนนายคน อยู่สูงกว่าคนอื่นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าพูดตรงๆอย่างระบบทุนนิยมก็คือ ความปรารถนาที่จะให้ลูกเป็นอัฉริยะนั้น ก็คือ การทำให้ลูกมีความเก่งกาจสามารถ กับการหาเงินให้ได้มากที่สุด จะได้เลื่อนฐานะตัวเองทั้งในแง่เศรษฐกิจ และในแง่ของสังคม ก็คือการได้ขึ้นไปอยู่บนยอดพีระมิด
เราจึงพยายามยัดเยียดให้ลูกฟังโมซาร์ท เพื่อให้ลูกของเราไอคิวสูงขึ้นด้วยดนตรี และทำให้ตัวเราเองสมองปลอดโปร่งโล่งขึ้น แล้วทั้งตัวเราและลูกก็กลับมาสู่สังคมแห่งการแข่งขัน ร่วมกันทำงาน ทำธุรกิจ กอบโกยทุกวิถีทาง เนื่องจากเราได้เปรียบคนอื่นจาก ภาวะไอคิวสูงอันเนื่องมาจากสมองปลอดโปร่งโล่งสบาย แทนที่จะได้ดื่มด่ำกับความบริสุทธิ์ในดนตรีของโมซาร์ทอย่างเข้าถึงสุนทรียรส ที่เป็นแก่นแท้ของดนตรีจริงๆ
สังคมไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นวิถีแห่งพุทธ พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรารับรู้และเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตามแก่นแท้ของมันด้วยปัญญา เป็นแนวทางแห่งความเห็นชอบในสิ่งที่เหมาะที่ควร (สัมมาทิฐิ) และลงมือปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ให้ประจักษ์ด้วยตัวของเราเอง หากผลแห่งการกระทำเป็นกรรมดีก็จะส่งเสริมความดีความงามของชีวิตเราเป็นแรงกรรมที่จะขับดันเราไปสู่ภพภูมิที่ดี แต่หากเราหลงผิดในการกระทำอันเนื่องมาจากความบกพร่องของการใช้ปัญญา หรือไม่เคยคิดที่จะใช้ ผลแห่งการกระทำเป็นกรรมชั่วก็จะส่งเสริมความชั่วร้ายให้กัชีวิตเรา (สะสมอยู่ภายในตัวเราอาจจะไม่ได้ปรากฎให้เห็นชัดเจนแต่คนส่วนใหญ่จะรับรู้ได้จากพฤติกรรมที่ได้ปฏิสัมพันธ์กัน) เป็นแรงกรรมที่จะผลักเราไปสู่ภพภูมิที่หาซึ่งความสงบสุขไม่ได้จนกว่าจะหมดกรรม
การให้ลูกฟังโมซาร์ทเพื่อให้เป็นอัจฉริยะ คงไม่ต่างอะไรจากการนั่งวิปัสสนากรรมฐานเพื่อจะทำให้ตนเองเกิดบุญบารมี มั่งคั่งด้วยเงินทอง ชีวิตสุขสบายขึ้น แทนที่จะลดละ และปล่อยวางตัวตนเพื่อให้เกิดปัญญา และเห็นชอบในสิ่งที่เหมาะที่ควร (สัมมาทิฐิ) เห็นด้วยไหมครับ?