ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์
ตอนที่๒ (ขั้นให้เนื้อหาข้อเท็จจริง)
ในเมื่อเราทราบแล้วว่าการวิ่งไปมาระหว่างขั้วหนึ่งไปสู่ขั้วหนึ่งมันเป็นความแกว่งของสภาวะอันเนื่องมาจากกระแสของอารมณ์ ที่เกิดจากการปักใจรับรู้กับขั้วที่มาเร้าเรา (สิ่งเร้าที่น่าจะมาจากด้านที่มนุษย์พึงปรารถนามากกว่า) การหาตรงกลางของสิ่งเร้าคู่นั้นให้พบจึงน่าที่จะเป็นหนทางที่ดีที่สุด (ภาวะอุเบกขา) และวิธีการนี้ก็เป็นวิธีที่สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธองค์ (ทางสายกลาง) ที่แท้จริง แต่ความยากของวิธีการนี้อยู่ตรงที่จุดชี้วัดว่า กลาง นั้นอยู่ตรงไหน? ถ้าข้อมูลเป็นเชิงปริมาณเรายังสามารถนำตัวเลขมาเข้าสูตรคิดคำนวณออกมาและบอกเป็นค่าที่แน่นอนได้ แต่ข้อมูลเชิงคุณภาพ (ที่ไม่ใช่ตัวเลข) แบบนี้ไม่สามารถคำนวณตามหลักตรรกะได้ แต่ต้องคำนวณด้วยหลักปรัชญา (ความจริงที่เป็นจริง) เท่านั้น จะต้องหาแนวทางที่หลากหลายที่ไม่ใช่การนำโจทย์ไปหาคำตอบออกมาเพียงคำตอบเดียว แต่จะต้องนำคำตอบมาสืบค้นหารากเหง้าที่มาอย่างหลากหลายของโจทย์ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมถามว่าผลลัพธ์ของ ๘ หาร ๒ คือเลขอะไร? (แน่นอนคำตอบก็จะเป็น ๔ เท่านั้นตามกฎเกณฑ์การหารของหลักคณิตศาสตร์) แต่ถ้าผมถามใหม่ว่า เจ้าเลข ๔ มีวิธีการได้มาด้วยวิธีการใดได้บ้าง? (คำตอบมีมากกว่า ๑ วิธีการใช่ไหมครับ) และในความเป็นจริงข้อมูลเชิงคุณภาพ บวก ลบ คูณ หาร ไม่ได้ด้วยนะ เช่น สวย บวก สวย จะได้ผลลัพธ์อย่างไร? , สวย บวก หล่อละ? หรือ สวย บวก ขี้เหร่ จะได้อะไรออกมา? มาถึงตรงนี้ผมคิดว่าหลายคนคงอยากทราบแล้วใช่ไหมครับว่า เราจะหาตรงกลางได้อย่างไร
เราเคยรักหรือชอบใครอย่างสุดๆเลยไหมครับ และต่อจากนั้นภายหลังเรามารับรู้ได้ว่าไอ้คนที่เราชอบมันไม่ใช่เสียแล้ว มันไม่ใช่ภาพลักษณ์แรกที่เราได้รับรู้ (คล้ายๆกับละครทีวีในบ้านเราเลยประเภทตัวอิจฉาในช่วงแรกๆของละครที่ออกอากาศมักจะทำตัวเป็นแม่พระ ทำให้พระเอก / นางเอก เห็นว่าเป็นคนดี) ปรากฎการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปผมเรียกมันว่าเป็นการพลิกกลับเป็นขั้วตรงข้ามทันที (รักมากเท่าใดก็เกลียดมากเท่านั้น) ในทางตรงข้ามนะคุณเคยเกลียดใครมากๆไหม (ประเภทแบบเข้าใจเขาผิดนะ) วันหนึ่งหากเราได้พบว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราเข้าใจคุณอาจจะกลับมารักเขาอย่างดุษฎีเลยก็ได้ (เกลียดมาเท่าใดก็รักมากเท่านั้น) แต่ยังไม่จบเท่านี้นะครับ หากรักชอบและเป็นกันเองมากเกินไปวันหนึ่งเกิดความก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวกัน หรือมีบุคคลที่สามเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ที่สำคัญมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็มีโอกาสดีดกลับไปเกลียดกันอีก ดังนั้นความไม่นิ่งของกระแสอารมณ์จึงเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลกับ ความรัก และ ความเกลียด เวียนว่ายไปมาเป็นวัฎจักร เหมือนกระแสน้ำที่หมุนรหัสวิดน้ำนั่นเอง การเรียนรู้อารมณ์ตนเองจึงเป็นเรื่องที่ตัวเราเองต้องศึกษา
เราเคยรู้จักใครสักคนไหมที่เรามีความรู้สึกเฉยๆกับเขา (ประมาณว่าไม่รักแต่ก็ไม่เกลียด) ถ้าเขามาขอความช่วยเหลือก็ยินดีช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ และเราก็ไม่เคยไปคิดให้ร้ายอะไรแก่เขา ในขณะที่เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรกับเรา (เฉยๆเหมือนกัน) ตรงนี้แหละครับคือ สายกลาง คนประเภทนี้จะมีพฤติกรรมที่เป็นจุดยืนของตนเอง เข้าใจในความงามตามหลักสุนทรีย ตรงไปตรงมา แต่ไม่ถึงกับตึงมากเกินไป เขาจะมีความเข้าใจอยู่ในใจ อ่านคนออกตั้งแต่เริ่มแรกรับสัมผัส ที่สำคัญจะเป็นผู้ลงมือทำ มากกว่านำเสนอ แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีความคิดเพราะเขาจะนำเสนอในกาลเวลาที่เหมาะที่ควรมากกว่า สิ่งที่นำเสนอก็มีข้อเท็จจริงจากการกระทำรองรับไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันที่ปราศจากข้อเท็จจริง สิ่งหนึ่งที่คนประเภทนี้จะมีคล้ายๆกันก็คือ การเข้าถึงสุนทรียศาสตร์ด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี , งานศิลป์ , ศิลปะการแสดง ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะไปเกี่ยวข้องกับการใช้อารมณ์ในการตัดสินและรับรู้ เป็นสิ่งที่ได้ติดตัวจากการฝึกฝนเท่านั้นไม่ได้มีติดตัวทุกคนมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งปัจจุบันการฝึกรู้ให้เท่าทันอารมณ์มีหลากหลายแนวทางและวิธีการ ให้ได้ศึกษาเรียนรู้บางท่านอาจนำไปต่อยอดวิจัยองค์ความรู้ออกมาเป็นแนวทางใหม่ของตนเองก็ได้ สิ่งสำคัญคือการมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันคือความสงบนิ่งทางอารมณ์ และทำให้จิตเกิดสมาธิ สามารถใช้ปัญญาพิจารณาแยกแยะการรับรู้ด้วยความเท่าทัน ได้อย่างเหมาะสม
ความโชคดีอย่างหนึ่งของการเกิดเป็นมนุษย์(ที่สภาวะจิตใจปรกติ)คือ การใฝ่ดี มนุษย์ทุกคนมีความใฝ่ดีอยู่ภายใต้ห่วงลึกในจิตใจ ถ้าไม่เชื่อลองเดินไปสอบถามคนใกล้ๆตัวท่านสักประมาณหนึ่งดูว่า คุณอยากเป็นคนดีไหม? ผมคิดว่าเกินครึ่งน่าจะอยากเป็นคนดีแน่นอน พลังแห่งความใฝ่ดีมีอยู่ในตัวทุกคนอยู่แล้ว แต่มีกำลังน้อยส่วนใหญ่จะแพ้พลังจากกระแสอารมณ์ที่คอยดันต้านอยู่ สิ่งที่เราสามารถทำได้มี ๒ แนวทาง กล่าวคือ
๑. ลดพลังจากกระแสอารมณ์ด้วยการวินิจฉัยทางสายกลาง ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น (Inside-in) สิ่งที่ได้คือความสุขที่รู้เท่าทันความทุกข์อย่างแท้จริง หรือ
๒. ถ้าคิดว่าไม่สามารถปฏิบัติตามแนวทางแรกได้ ก็จะต้องพัฒนาขีดความสามารถของเรา (Outside-in) เพื่อดึงศักยภาพ (แรงแห่กรรม) ของเรามาใช้สร้างพลังแห่งความใฝ่ดีที่อยู่ในเบื้องลึกของจิตใจให้มีกำลังเพิ่มมากขึ้น หรืออย่างน้อยก็ให้เท่ากับพลังจากกระแสอารมณ์ เพื่อให้อยู่ในสภาวะสมดุลย์ วิธีการนี้ก็ถือว่าเป็นกิเลส เป็นความอยากเหมือนกัน (เป็นความอยากในทางดี) ได้ผลเร็วกว่า แต่อาจจะไม่ยั่งยืนถาวรเมื่อเทียบกับวิธีการแรก แต่เหมาะสำหรับการควบคุมคนหมู่มาก
หรือเป็นแบบผสมดี (วิถีไทยเราชอบอยู่แล้ว) ผสมไปผสมมาสุดท้ายก็ไปเอาข้อด้อยของแต่ละแบบมาใช้ ส่วนที่ดีเอาออกไป สิ่งที่ดีได้คือความสุขที่ได้หลอกตัวเองไปวันๆ (นอกจากหลอกคนอื่นแล้วยังหลอกตัวเองอีก) เสียของจริงๆครับ