บทเรียนจากชีวิตจริง : เบื้องหลังแห่งความแข็งแกร่ง
อินทรีย์คือพญาแห่งนกทั้งปวง อีกทั้งยังมีอายุที่ยืนยาวกว่าในบรรดาสัตว์ปีกทั้งหมดตามข้อมูลบอกไว้ว่ามันสามารถมีชีวิตยืนยาวได้นานถึง ๗๐ ปี (พอๆกับอายุเฉลี่ยคนไทยเราเลยนะ) ด้วยรูปร่างที่สง่างามและน่าเกรงขาม แต่จะมาถึงวันนี้ได้ก็จะต้องผ่านบททดสอบที่หนักหน่วงอย่างเฉียดเป็นเฉียดตายเลยทีเดียว นับตั้งแต่เกิดเมื่อถึงวัยที่จะต้องบิน แม่อินทรีย์จะใช้กรงเล็บพาลูกน้อยออกจากรังบนหน้าผาสูงชัน บินไต่ระดับขึ้นไปพอได้ความสูงระยะหนึ่งก็จะปล่อยลงมา เจ้าอินทรีย์น้อยจะต้องกระทำทุกวิถีทางที่จะต้องพยุงตนเองให้รอดพ้นจากการตกกระแทกพื้นให้ได้ นี่คือชั่วโมงแรกของการฝึกบิน และเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งบทแรกเท่านั้น ถ้าผ่านคือรอด แต่ถ้าไม่ผ่านนั่นหมายถึงชีวิตที่อาจจะไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป
บททดสอบความแข็งแกร่งต่อมาเกิดขึ้นประมาณอายุ ๔๐ ปี ถ้าไม่สิ้นบุญไปเสียก่อนได้เจอกันทุกตัวแน่นอน ซึ่งในตอนนี้เองกรงเล็บที่แข็งแกร่งแหลมคมและมีความหยุ่นตัวได้ดี ไม่สามารถใช้จับสัตว์มาเป็นอาหารได้อีก จงอยปากที่แหลมคมก็เริ่มโค้งงอ ขนปีกที่หนาและหนักรวมถึงขนที่ยาวไปกระจุกอยู่ที่หน้าอกของมัน เป็นอุปสรรคอย่างมากในการบิน มาถึงจุดนี้ถ้าคิดถึงทางเลือกให้เจ้านกอินทรีย์ก็คงมี ๒ ทางเลือก.....
ทางเลือกที่๑ ..... จบชีวิตตนเองลงไปซะตอนนี้เลย...... หรือ
ทางเลือกที่๒ ..... ยอมทนทุกข์ทรมานต่อไป
แต่ไม่มีอะไรคงทนถาวรหรอก ทุกอย่างเป็นเพียงการไหลผ่านเข้ามาแล้วเดียวมันก็ไหลผ่านออกไปเองตามธรรมชาติ ความทุกข์ไม่ได้อยู่ติดตัวเราตลอด ในขณะเดียวกันความสุขก็ไม่ได้อยู่ติดตัวเราตลอดด้วยเช่นกัน ถ้าเจ้านกอินทรีย์เลือกทางเลือกที่ ๒ มันจะต้องทนทุกข์ต่อไปอีกประมาณ ๕ เดือน (๑๕๐ วัน) มันต้องทนต่อสภาพความเจ็บปวดที่จะได้รับ ดังนั้นที่อยู่ที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือ รังบนหน้าผาสูงของมันนั่นเอง
มันจะต้องใช้จงอยปากที่โค้งงอของมันเคาะกับก้อนหินครั้งแล้ว ครั้งเล่า จนจงอยปากมันหลุดออกมา เพื่อให้จงอยปากใหม่งอกออกมา จากนั้นก็มาถึงกรงเล็บใหม่ที่งอกยาวตามมา หลังจากนั้นมันจึงใช้จงอยปากใหม่ถอนขนที่ดกหนารกรุงรังของมันออกไป และผลัดขนชุดใหม่มาแทน กระบวนการทั้งหมดที่กว่ามาก็ใช้เวลารวมประมาณ ๕ เดือน หรือ ๑๕๐ วัน
และเมื่อมันผ่านพ้นช่วงบททดสอบในชีวิตครั้งนี้ไปได้ มันก็จะบินออกจากรังของมันอย่างสง่างามอีกครั้งหนึ่ง พร้อมส่งเสียงร้องดังลั่นสะท้านฟ้า คล้ายจะประกาศชัยชนะและบอกให้สรรพสิ่งรอบข้างมันรู้ว่า มันจะมีชีวิตที่ยืนยาวได้ต่อไปอีก ๓๐ ปี (ถ้าไม่สิ้นบุญไปเสียก่อน)
บทเรียนจากชีวิตจริงนี้แสดงให้ผมได้รับรู้ถึงความเป็นธรรมดาที่เป็นธรรมชาติของโลกใบนี้ ถึงแม้มนุษย์จะถูกจัดให้เป็นสัตว์ที่ประเสริฐสูงส่งกว่าสัตว์ใดๆก็ตาม พฤติกรรมโดยสันดานดิบคงยังไม่สามารถละได้หมดเสียทีเดียว พฤติกรรมการกระทำของสัตว์ที่ไม่ประเสริฐอาจไม่ได้แฝงไว้ด้วยนัยอย่างลึกซึ้งเช่นมนุษย์ที่เป็นสัตว์ประเสริฐอย่างเราด้วยซ้ำ เล่ห์กลมารยาสาไถ ก็คงไม่มีเหมือนมนุษย์อย่างเรา พฤติกรรมที่แสดงก็คือสิ่งที่เขามี สิ่งที่เขาเป็น สิ่งที่เป็นตัวตนที่แท้จริง สิ่งที่เป็นจิตวิญญาณจริงๆของเขา พฤติกรรมบางอย่างที่มนุษย์อย่างเราไปมองพวกเขาแล้วอาจจะคิดว่าเขาไม่ฉลาด ฉลาดน้อย แต่จริงๆแล้วเราก็ต้องเขาใจว่านั่นคือความเป็นเขาในธรรมชาติ เขาไม่ได้ฉลาดน้อย แต่เขามีศักยภาพเพียงเท่านั้น บางทีเขาอาจจะได้ใช้ในสิ่งที่เป็นศักยภาพของเขามากกว่ามนุษย์อย่างพวกเราด้วยซ้ำไป มนุษย์อาจจะเป็นสัตว์ที่ฉลาดจากการที่เราได้คิดเอาเอง ซึ่งเกิดจากการเปรียบเทียบแล้วประเมินคุณค่าออกมากันเอง ในความฉลาดที่สุดขั้วด้านหนึ่งของมนุษย์ก็อาจทำให้เกิดปรากฎการณ์ดีดกลับไปในขั้วที่ตรงกันข้ามและทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมที่ไม่ฉลาดได้เช่นกัน.....
เคยเห็นสุนัขข้างถนนมันฆ่าตัวตายไหม?ถึงแม้ร่างกายจะผอมโซเหลือแต่โครงกระดูก ไม่ต้องพูดถึงโรคภัย มันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะต่อสู้กับความทุกข์ทรมานเหล่านั้นจนถึงวินาทีสุดท้าย
เคยเห็นแมวโดดตึกตายหรือเปล่า?
เคยเห็นลิงผูกคอตายไหม?
เคยเห็นควายกระโดดน้ำตายไหม?
ความตายของพวกเขาไม่ได้เกิดจากปัจจัยจากตัวเขาเลย ส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยภายนอก แต่มนุษย์ที่ฉลาดล้ำลึกอย่างเราสามารถทำได้หมดทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ผมคิดว่ามนุษย์น่าจะเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่สามารถคิดฆ่าตัวเองแล้วลงมือทำได้จริงๆ นับประสาอะไรกับคนอื่น!
สิ่งที่ได้จากการบูรณาการบทเรียนนี้มีหลากหลายมากไม่ว่าจะคิดไปในแง่มุมใด เราสามารถบูรณาต่อยอดแตกกิ่งก้านสาขาไปได้เกือบทั้งหมด ทดลองบูรณาการและต่อยอดองค์ความรู้จากบทเรียนนี้กันดูผมคิดว่าเป็นบทเรียนที่ดีบทเรียนหนึ่งเลยทีเดียวครับ