เมื่อรถยนต์ได้รับการใช้งานเป็นประจำ ปัญหาการสึกหรอย่อมเกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือการตรวจเช็ค

แก้ไข ในขณะที่กำลังใช้รถอยู่นั้นอาจเกิดปัญหาตามมา ซึ่งต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเหล่านั้นด้วยตัวเอง

หรืออาจแก้ไขให้ทำงานต่อไปได้ จนกว่าจะหาร้านซ่อมหรือเรียกช่าง

ฉะนั้นเมื่อรถมีปัญหาจงหาสาเหตุอย่างละเอียด อย่าใจร้อนหรือตกใจจนเกินไป ค่อยหาวิธีการแก้ไขไปเรื่อยๆ

และต่อไปนี้จะเป็นการแก้ไขปัญหารถยนต์เฉพาะหน้า

เครื่องยนต์สตาร์ทติดแล้วดับไปเอง
สาเหตุ
1. น้ำมันเข้าคาร์บูเรเตอร์
2. สายไฟแรงสูงจากคอยส์หลุดหลวม
3. สายแบตเตอรี่หลุด
แก้ไข
1.ต้องปรับแต่งปั๊มน้ำมันและคาร์บูเรเตอร์
2. จัดสายให้แน่นและใส่ยางครอบบังคับให้เรียบร้อย
3. ถอดออกเช็ดและขัดด้วยแปรงจึงใส่กลับที่เก่าและขันให้แน่น

เครื่องยนต์ติดแต่ไม่มีกำลังขับเคลื่อน
สาเหตุ
1. ตั้งไฟจุดระเบิดอ่อนเกินไป
2. มีเขม่าอุดตันที่ท่อไอเสีย
แก้ไข
1. ตั้งไฟให้แก่ขึ้น (เป็นหน้าที่ของช่าง)
2. เคาะเขม่าที่ท่อออกให้หมด หรือไม่ก็แยงด้วยลวดแข็งๆ

เครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติด
สาเหตุ
1. น้ำมันเชื้อเพลิงในถังหมด
2. ท่อทางน้ำมันเชื้อเพลิงอุดตัน
3. ท่อทางน้ำมันเชื้อเพลิงรั่ว
4. แบตเตอรี่ไฟอ่อน
5. สายแบตเตอรี่หลุด
6. น้ำมันท่วม
7. หัวเทียนบอด รั่ว เสีย
แก้ไข
1. ตรวจเติมน้ำมันเชื้อเพลิง
2. ใช้ลมเป่าเศษผงที่อุกตันออก
3. ต้องถอดออกซ่อมเพื่ออุดรอยรั่ว
4. นำไปชาร์จไฟใหม่
5. ต่อขั้วแบตเตอรี่ใหม่
6. รอประมาณ 5 นาที แล้วสตาร์ทใหม่ โดยเหยียบคันเร่งให้สุด อย่าย้ำคันเร่งเป็นอันขาด
7. เปลี่ยนใหม่

เครื่องยนต์ติดแต่เร่งไม่ขึ้น
สาเหตุ
1. ข้อต่อคันเร่งควบคุมอากาศที่คาร์บูเรเตอร์ขัดข้อง
2. หม้อกรองอากาศอุดตัน
3. ตั้งไฟอ่อนเกินไป
แก้ไข
1. ต้องปรับแต่งใหม่ (เป็นหน้าที่ของช่าง)
2. ถอดออกมาทำความสะอาด หรือเปลี่ยนใหม่เมื่อครบกำหนดเวลา
3. ตั้งปรับใหม่ (หน้าที่ของช่าง)

เครื่องยนต์ติดชั่วขณะหนึ่งแล้วดับ
สาเหตุ
1. เกิดขัดข้องในระบบจุดระเบิด
2. น้ำมันเชื้อเพลิงหมด
แก้ไข
1. ตรวจตั้งแบตเตอรี่ หัวเทียน ว่ามีส่วนไหนขัดข้อง
2. ตรวจและเติมใหม่

เครื่องยนต์เบาแล้วดับ
สาเหตุ
1. หัวเทียนเสื่อม
2. หน้าทองขาวห่างเกินไป
3. ส่วนผสมน้ำมันกับอากาศไม่ถูกส่วน
4. มีทางรั่วที่บริเวณท่อไอดี
แก้ไข
1. เปลี่ยนใหม่
2. แต่งให้ได้ตามคู่มือหรือประมาณ 0.20 นิ้ว
3. ต้องแต่งส่วนผสมใหม่ให้สัมพันธ์กัน
4. เปลี่ยนประเก็นใหม่ ตามอายุการใช้งาน

เครื่องยนต์เดินไม่สมาเสมอขาดเป็นช่วงๆ  หรือสะดุด
สาเหตุ
1. หัวเทียนเสื่อมชำรุดบางตัว
2. หัวเทียนมีระยะห่างเกินไป
3. มีน้ำปะปนกับน้ำมันเชื้อเพลิง
แก้ไข
1. ล้างทำความสะอาด หรือเปลี่ยนตามกำหนด
2. ตั้งระยะเขี้ยวของหัวเทียนให้ได้ตามกำหนด
3. ล้างคาร์บูเรเตอร์ หรือต้องล้างถังน้ำมันเครื่องด้วย

เครื่องยนต์ร้อนจัดเกินควร
สาเหตุ
1. ใช้น้ำมันเครื่องผิดเกรด
2. ตั้งไฟอ่อนเกินไป
3. กรณีที่ยกเครื่องใหม่เครื่องนั้น อาจแน่นเกินไป
4. รูรังผึ้งหม้อน้ำสกปรกอุดตัน
5. สายยางท่อน้ำแฟบหรือติดตัว
6. หม้อน้ำรั่ว ท่อส่งน้ำผุ
7. มีโคลนหรือตะกอนในช่องทางน้ำ
8. น้ำมันเครื่องหล่อลื่นน้อยไป
9. ขับรถให้เกียร์ต่ำเกินไป
แก้ไข
1. เปลี่ยนใหม่ให้ถูกต้องตามมาตรฐานที่ให้มา
2. เร่งไฟให้แก่ขึ้น (ตามคู่มือ)
3. เดินเครื่องรถประมาณ 8 ชม. และวิ่งรันอินประมาณ 60 กม./ชม.
4. ล้างหม้อน้ำด้วยวิธีใช้น้ำยาหรือล้างด้วยโซดาไฟ
5. เปลี่ยนใหม่หรือจัดให้ตรง
6. ซ่อมอุดรอยรั่ว หรือเปลี่ยนใหม่
7. เปิดข้างเสื้อสูบหม้อน้ำทำความสะอาด
8. เติมให้พอดีกับระดับที่ต้องการใช้งาน
9. ใช้เกียร์ให้ถูกต้องตามคู่มือรถที่ให้มา

มีควันออกทางท่อไอเสียมาก
สาเหตุ
1. เติมน้ำมันเครื่องหล่อลื่นมากเกินไป
2. ใช้น้ำมันหล่อลื่นใสเกินไป
3. ลูกสูบ แหวนลูกสูบ หรือปลอกลิ้นหลวมลักษณะเป็นควันสีดำ
แก้ไข
1. ตรวจน้ำมันเครื่องให้อยู่ในเกณฑ์ที่ถูกต้อง
2. เปลี่ยนน้ำมันให้ถูกต้องตามเกรด
3. ซ่อมยกเครื่องใหม่

ลักษณะเป็นควันสีขาว
สาเหตุ
1. น้ำมันท่วมคาร์บูเรเตอร์
2. โช้กค้าง หม้อกรองอากาศตัน
แก้ไข
1. ตรวจคาร์บูเรเตอร์
2. ปรับโช้กให้เข้าที่ ถอดหม้อแกรงเป่าแห้ง หรือทำความสะอาด หรือเปลี่ยนใหม่

เปลืองน้ำมันเครื่องมากผิดปกติ
สาเหตุ
1. แหวนลูกสูบหลวม
2. เครื่องยนต์ร้อนจัด
3. ปะเก็นกันครอบน้ำมันเครื่องรั่ว
4. อ่างน้ำมันหล่อลื่นสกปรกมาก
แก้ไข
1. ตรวจซ่อมเปลี่ยนแหวน
2. ตรวจซ่อมสาเหตุเครื่องร้อนตามข้างบนที่กล่าวมา
3. เปลี่ยนประเก็นใหม่
4. ถอดออกล้าง ใส่ประเก็นใหม่

สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากผิดปกติ
สาเหตุ
1. ถังน้ำมันเชื้อเพลิงรั่ว
2. ท่อน้ำมันเชื้อเพลิงรั่ว
3. ท่อไอเสียตัน
4. เครื่องยนต์เดินไม่ครบสูตร
5. หม้อกรองอากาศอุดตัน
แก้ไข
1. ตรวจเช็คถังน้ำมัน ถ้ามีริยรั่วควรส่งซ่อม
2. ตรวจรอยรั่ว และส่งซ่อม
3. เคาะหรือใช้เหล็กแยงเขม่าออก
4. ตรวจหัวเทียนทุกสูบและปรับแต่ง
5. ถอดไส้กรองออกมาทำความสะอาด

ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งในการใช้งานของรถแต่ละคัน

ฉะนั้นจึงควรรู้ไว้เพื่อจะสามารถวินิจฉัยได้ถูกต้อง จะได้หาร้านหรืออู่ที่มีความชำนาญเฉพาะด้านนั้นๆ ไป

ในกรณีบางส่วนที่สามารถทำได้เองก็ควรทำเอง ถ้าสิ่งไหนยากเกินกำลังหรือไม่แน่ใจ

ควรเก็บเอาไว้ปรึกษาช่างเป็นดีที่สุด เพราะช่างจะมีความชำนาญในการตรวจเช็คและแก้ไขมากกว่าเรา

ฉะนั้นถ้าไม่แน่ใจหรือมีปัญหาเกี่ยวกับรถที่ไม่เข้าใจ ควรปรึกษาช่าง

แม้ว่าจะเป็นบทความเก่า  แต่บางอย่างก็ยังใด้อยู่ครับ

ขอบคุณต้นฉบับจาก