รุ่งอรุณแห่งศตวรรษที่21

             พระสุริยันยาตราขึ้นและลับยอดเขายุคลธรครั้งแล้วครั้งเล่า ดาวเดือนก็เคลื่อนคล้อยผ่านวันเวลาและวันคืนอันยาวนาน จนผ่านอัสดงแห่งศตวรรษที่ 20 อุ้งหัตถ์แห่งรัตติกาลก็รับช่วงภาระหน้าที่แห่งราตรีไปจวบสาง จนแสงสว่างแห่งรุ่งอรุณของศตวรรษที่ 21 ได้ทอทาบฟากฟ้าเบื้องบูรพาทิศ ปลุกชีวิตให้ตื่นคืนรับวันใหม่อีกครั้งหนึ่ง 

             ชีวิตของสรรพสัตว์ถูกครอบงำด้วยความมีและความไม่มี จนมองไม่เห็นหรือลืมไปว่ายังมีอีกบางสิ่งที่อยู่เหนือพ้นจากความมีและความไม่มีนั้น
  
             แก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นภาพที่ใครก็มองเห็นได้ เมื่อยกแก้วน้ำออกไปแล้ว พื้นที่ตรงนั้นไม่มีแก้วน้ำ ก็เป็นภาพที่มองเห็นได้ เราเห็นและไม่เห็นความมีหรือความไม่มีโดยนัยยะที่ว่านี้ โดยมองข้ามไปว่าภาวะที่ว่างจากการมีแก้วน้ำและไม่มีแก้วน้ำนั้นก็ยังมีอยู่
 
             ภาวะที่ว่างจากการมีหรือไม่มีนั่นแหละ คือภาวะที่ไม่ขึ้นต่อความผันแปรและจังหวะร่ายรำแห่งกาลเวลา เป็นภาวะที่อำนาจแห่งกาลเวลาไม่สามารถทำให้เกิดความเจริญเติบโตหรือความเสื่อม แม้ความเกิดขึ้นหรือความดับสูญ 

             ภาวะนี้มิใช่หรือที่เป็นภาวะอันควรแก่การศึกษาใฝ่ค้น และดิ้นรนเวียนว่ายเพื่อไปให้ถึง สัมผัสกับสิ่งซึ่งมีอยู่แต่ไร้ผู้ใส่ใจ จะได้ไม่เสียทีที่ชีวิตได้อุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ 

             ความว่างเป็นภาวะที่ไม่เคยมีผู้ใดได้รู้ถึงการเริ่มต้น และไม่มีวันที่จะรู้ได้ถึงความสิ้นสุด  ในขณะที่ความว่างนั้นอยู่เหนือพ้นและครอบงำไว้ซึ่งสรรพสิ่ง ทั้งที่เป็นสิ่งที่มีและสิ่งที่ไม่มี 

             ผืนแผ่นพสุธาอันเป็นที่อาศัยของเราท่าน แม้มีปริมณฑลกว้างใหญ่ยาวไกลเกินกว่าจักษุประสาทของผู้คนจะมองเห็นถ้วนทั่ว แต่ผืนแผ่นอันกว้างใหญ่ไกลโพ้นนั้น ยังเล็กกว่าและเทียบไม่ได้กับความกว้างใหญ่ล้ำลึกแห่งพระมหาสมุทร

              ผืนดิน แผ่นน้ำ  อันห่อหุ้มพิภพนี้รวมเข้าด้วยกันแล้วก็ยังมีขนาดเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับสุริยจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ในขณะที่สุริยจักรวาลนั้นเล่าก็เป็นเพียงอณูหนึ่งในหมื่นแสนโลกธาตุที่แม้ขนาดก็ยังเล็กกว่าจักรวาลอื่นอีกมากหลาย

             ปวงจักรวาลอันไม่อาจนับกำหนดได้นี้ตั้งอยู่ที่ไหนเล่า หากมิใช่อยู่ภายในความเวิ้งว้าง ซึ่งเป็นเพียงเงาสลัวของความว่างในเชิงเปรียบเทียบเท่านั้น กระนั้นแล้วไฉนเล่าจึงไม่มีใครมองเห็นความยิ่งใหญ่ของความว่าง ทั้ง ๆ ที่ความว่างยิ่งใหญ่กว่าและครอบงำสรรพสิ่ง ทั้งสิ่งที่มีและสิ่งที่ไม่มี

             ปลาอยู่ในน้ำ สิกลับมองไม่เห็นน้ำ นกอยู่บนฟ้า สิกลับมองไม่เห็นฟ้า ชีวิตของสรรพสัตว์อยู่ในท่ามกลางความว่าง แต่กลับมองไม่เห็นความว่างอันครอบคลุมหุ้มห่ออยู่ทุกขณะ 

             จะมองหรือจะไม่มอง  หรือมองแล้วแต่เห็นหรือไม่เห็นก็หาได้มีความสำคัญประการใดไม่ ความยิ่งใหญ่และความแท้จริงของสิ่งที่เป็นความว่างก็ยังคงดำรงอยู่นั่นเอง 

             ความว่างไร้ซึ่งสมมติ ในขณะที่กาลเวลากลับถูกสมมติว่ามาถึงศตวรรษที่ 21 แล้ว ราวกับว่ากาลเวลาเพิ่งผ่านพ้นมาเพียง 2,000 ปีเท่านั้น แต่ความจริงย่อมรู้กันอยู่ทั่วไปว่ากาลเวลาที่แม้ไม่อาจรู้การเริ่มต้น ได้ผ่านพ้นมาจนไม่รู้นานช้าสักเพียงไหน มนุษย์จึงเพิ่งคิดเริ่มต้นศักราชที่ 1 เมื่อ 2,000 ปีมานี้เอง 

             มนุษย์ยืนหันหลังให้กับกาลเวลา และถูกอานุภาพของความมีและความไม่มีปกคลุมครอบงำให้มองไปแต่ข้างหน้า ภายใต้สายตาอันแสนสั้น เหตุนั้นโลกธรรมชาติจึงเหลืออยู่เพียงโลกในภายหน้าเท่านั้น ในขณะที่โลกในอดีตได้ถูกอำนาจแห่งกาลเวลากินกลืนจนมิดไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นโลกในภายหน้ากลับถูกวิทยาการที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์แบ่งแยกออกเป็นสอง คือโลกธรรมชาติใบกลมนี้ กับโลกสี่เหลี่ยมแห่งคอมพิวเตอร์ที่สมบูรณ์ไปด้วยระบบสื่อสารรวมศูนย์ (Multimedia) ที่ย่อและประมวลข้อมูลทั้งหลายของโลกธรรมชาติใบกลมไว้ในโลกคอมพิวเตอร์ใบเหลี่ยมนั้น

             มายาภาพของความมีและความไม่มีประสบความสำเร็จในการแบ่งแยกโลกภายในกับโลกธรรมชาติมาเป็นเวลาช้านานแล้ว   คงมีแต่มนุษย์พิเศษจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ฝึกฝนพัฒนาจนภาวะแห่งปัญญาก้าวสู่ขั้นสูงสุดอย่างหนึ่ง หรืออำนาจแห่งจิตก้าวสู่ขั้นสูงสุดอีกอย่างหนึ่งถึงและแจ้งซึ่งโลกภายใน จึงฝ่าข้ามมายาภาพของความมีและความไม่มีสู่ความว่างจากพันธนาการของสรรพสิ่ง อันเป็นบรมสุขนิรันดร 

             ยามอรุณแห่งศตวรรษที่ 21 กระแสลมของยุคสมัยกำลังแปรปรวน ทิศทางหนึ่งกำลังพัดโชยกระหน่ำกระแสการดัดแปลงโลกให้เป็นไปตามความต้องการของมนุษย์อันไม่มีที่สุด ในขณะที่อีกทิศทางหนึ่งกำลังพัดโชยย้อนกระแสสู่ความเป็นธรรมชาติ และความว่างอันไม่มีที่สุดเช่นกัน นับวันทิศทางลมสองกระแสนี้จะผันแปรพลิกพลิ้ว ชวนชี้ให้มวลมนุษย์ได้เลือกสรรเส้นทางเดินของชีวิตว่าจะลิขิตชีวิตด้วยน้ำมือตน เพื่อถึงซึ่งโลกธรรมชาติ และความว่าง หรือว่าจะปล่อยวางไปตามกระแสด้วยอำนาจแห่งมายาที่ไร้จุดหมายปลายทาง

             ท่ามกลางความผันแปรของกระแสดังกล่าวนั้น ย่อมยากที่ปุถุชนเราจะคาดการอย่างถูกต้องว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น แต่ทว่าบาทฐานจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในศตวรรษก่อนย่อมเป็นสะพานที่ทอดสู่อนาคต จึงอาจกำหนดความคลี่คลายได้เท่าเพียงที่ปัญญาทัศน์ของคนเราจะไปถึง ซึ่งอย่างไรเสียก็ยังดีเสียกว่าหลับตาปิดหูไม่ยอมดูไม่ยอมได้ยินเสียทีเดียว 

             รุ่งอรุณแห่งศตวรรษที่ 21 ได้ย่างเยื้องมาเยือนชาวโลกแล้ว จากบาทฐานสถานการณ์ในศตวรรษที่แล้ว จึงคาดการว่าสถานการณ์สำคัญอันจะบังเกิดขึ้นหลังจากอรุณแห่งศตวรรษที่ 21 ที่สำคัญจะมีดังนี้ 

             ประการแรก  สงครามแบบใหม่ที่ใช้กองทัพเศรษฐกิจและกองทัพสื่อมวลชนเป็นกองหน้า โดยมีกองทัพที่ถืออาวุธอยู่ข้างหลัง จะอุบัติขึ้นในหลายปริมณฑลของโลก การยึดครอง การต่อต้านการยึดครองจะอุบัติตามมา ปริมณฑลที่ตกอยู่ในห้วงอันตรายของสงครามใหม่นี้คือเอเชียทั้งทวีป อาฟริกาทั้งทวีป และลาตินอเมริกา กระแสสงครามในภูมิภาคเหล่านี้จะเป็นกระแสหลักที่กลมกลืนและอาศัยกระแสสันติภาพที่ต่อเนื่องมาจากศตวรรษที่ 20 ที่ใดที่ถูกเรียกร้องด้วยคำว่า “เสรี” ไม่ว่าเสรีทางการเมือง หรือเสรีทางเศรษฐกิจหรือการเงิน หรือวัฒนธรรม นั่นคือการประกาศว่าที่นั้นกำลังกลายเป็นสมรภูมิของสงครามแบบใหม่ไปแล้ว 

             การตั้งรับสงครามแบบใหม่ รวมทั้งการต่อต้านสงครามแบบใหม่จะอิงและอาศัยอยู่กับแนวรบของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา พันธมิตรในสงครามใหม่และพันธมิตรของระบบเงินตราจะเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออกอีกต่อไป หลายประเทศในโลกจะสูญเสียระบบเงินตราของตนเอง ดังตัวอย่างที่เริ่มปรากฏให้เห็นแล้วในปลายศตวรรษก่อนที่บางประเทศในลาตินอเมริกาได้ยินยอมน้อมรับเอาเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินของประเทศตน หรือการก่อตัวของเงินสกุลใหม่ของยุโรป ในขณะที่เงินเยน ของญี่ปุ่นกำลังก่อตัวเพื่อสร้างระบอบ “วงไพบูลย์แห่งเอเชียบูรพา” ของระบบการเงินขึ้นในเอเชีย ในขณะที่จีนกำลังเสริมความเข้มแข็งของเงินหยวนและขยายเขตอำนาจสมบูรณ์ เหนือฮ่องกงและมาเก๊าในปลายศตวรรษก่อน ทั้งมีความเป็นไปได้ที่โลกอาหรับจะได้ก่อตั้งสกุลเงินร่วมขึ้น ประสานและร่วมความเป็นพันธมิตรของระบบเงินตราเข้ากับกำลังทางเศรษฐกิจและกำลังทางสื่อมวลชน 

             ในท่ามกลางการรณรงค์สงครามแบบใหม่ดังกล่าวนั้น การรุกคืบทางวัฒนธรรมและปัจจัยสี่ เพื่อให้ทั้งโลกตกอยู่ภายใต้การครอบงำก็จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น กระแสหลักจะอยู่ที่กระแสตะวันตก และกระแสตะวันออก การต่อสู้สองกระแสในเรื่องนี้ เหมาเจ๋อตงเคยวินิจฉัยไว้ว่า “ตังฮวง เซี๊ยต่อ ไซฮวง” ซึ่งแปลว่า “ลมตะวันออกจะต้องพัดกลบลมตะวันตก”  

             การยึดครองทางวัฒนธรรมและปัจจัยสี่ เป็นพลังไร้สภาพ แต่กลับมีอานุภาพยิ่ง ผู้ประมาทในอานุภาพนี้จะตกเป็นผู้พ่ายแพ้กระทั่งสิ้นชาติโดยไม่รู้ตัว 

             เผ่ามองโกลยึดครองแผ่นดินจีนไม่นานมองโกลก็หายไปจากโลกเหลือแต่ชื่อและชนเผ่าเล็ก ๆ เท่านั้น แม้ในประวัติศาสตร์ช่วงหลังเผ่าแมนจูยึดครองแผ่นดินจีน 400 ปีเศษ แมนจูก็หายไปจากโลกเหลือแต่ชื่อและชนเผ่าเล็ก ๆ เช่นเดียวกัน ปมเงื่อนของความดับสูญอยู่ที่การถูกครอบงำและละลายชนชาติโดยกระบวนการวัฒนธรรม และปัจจัยสี่นั่นเอง 

             ประการที่สอง   ลัทธิแยกดินแดนแบบใหม่จะเกิดขึ้นและขยายตัวไปในภูมิภาคเอเชียตามต้นแบบที่ได้ดำเนินไปแล้วในติมอร์ตะวันออก โดยมาตรการบีบคั้นให้รัฐหนึ่งยินยอมให้ประชากรบางส่วนของรัฐนั้นลงประชามติแยกดินแดนเป็นรัฐใหม่ ด้วยการสนับสนุนค้ำจุนและบงการโดยต่างชาติ 

             การขยายตัวของลัทธิแยกดินแดนแบบใหม่นี้กำลังแสดงอานุภาพอยู่ในอินโดนีเซียที่หลายหมู่เกาะกำลังเคลื่อนไหวแยกตัวเอง และที่จะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดก็คือการเคลื่อนไหวแยกดินแดนในแคชเมียร์ของอินเดีย   ในมินดาเนาว์ของฟิลิปปินส์ ใน 4 จังหวัดภาคใต้ของไทย ในภาคตะวันออกของพม่า ในบางรัฐของมาเลเซียแม้กระทั่งธิเบตและไต้หวันของจีน พัฒนาของสถานการณ์กำลังก้าวไปข้างหน้าและจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น 

             การที่ทางการไต้หวันยกเลิกชื่อมณฑลไต้หวัน ก็คือกระบวนการแยกไต้หวันโดยสันติ ซึ่งสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายรวมไต้หวันอย่างสันติของจีน การรวมไต้หวันและการแยกไต้หวันเป็นปัญหาใหญ่ที่จะกระทบต่อภูมิภาคเอเชียและต่อโลกอย่างกว้างขวาง สัมพันธภาพที่ฟื้นฟูใหม่ระหว่างจีนกับรัสเซียย่อมแยกไม่ออกกับการปรับท่าทีและนโยบายของจีนต่อไต้หวัน และกระทบโดยตรงต่ออเมริกา

             ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของไต้หวัน แม้ว่าจะประจักษ์ชัดว่าผู้สืบทอดของพรรคก๊กมินตั๋งจะได้รับเลือกตั้ง แต่ยังคงเป็นความหวังของการรวมชาติอย่างสันติของจีนอยู่บ้าง แต่ถ้าเมื่อใดที่ความหวังนั้นกลายเป็นความสิ้นหวัง และด้านหลักของปัญหานี้คือการแยกไต้หวันอย่างสันติแล้วไซร้ เมื่อนั้นความขัดแย้งในปัญหานี้ก็จะถึงจุดสุดท้ายที่ต้องระเบิดขึ้นเป็นสงคราม ภายในทศวรรษแรกของศตวรรษหน้า ปัญหานี้น่าจะยุติไปในทางใดก็ทางหนึ่ง

             หากเกิดสงครามขึ้นชาวโลกอาจจะได้เห็นกองเรือนับแสนลำ เหมือนที่เคยปรากฎการใช้กองเรือทางยุทธวิธีในสงครามเซ็กเพ็กในสมัยสามก๊กที่โจโฉแตกทัพเรือ หรือในสงครามปลดแอกที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกรีฑาทหารเรือนล้านข้ามลำน้ำแยงซีเกียงรุดหน้าลงใต้ตีก๊กมินตั๋งตกทะเล อีกครั้งหนึ่งในการบุกยึดไต้หวันกลับคืนอ้อมอกมาตุภูมิ

             ผลกระทบของสงครามนี้มีเพียงใด ขึ้นอยู่กับการแทรกแซงของอเมริกา และขึ้นอยู่กับการต่อรองของจีนและอเมริกา เพราะสถานการณ์ปัจจุบันนี้จีนคือเจ้าหนี้รายใหญ่อันดับสองของโลกที่มีต่ออเมริกา เมื่อใดก็ตามที่จีนเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐ เปลี่ยนเป็นเงินสกุลอื่น เช่นเงินอียูเป็นต้น ผลของมันก็จะไม่ต่างกับระเบิดปรมาณูที่ทิ้งลงใจกลางของนิวยอร์ค นี่เป็นทางหนึ่งหรืออาจมีทางแห่งการต่อรองอื่นทางการค้า และผลประโยชน์ในภูมิภาค ล้วนเป็นสิ่งที่จะถูกใช้เป็นเครื่องต่อรองกันได้ทั้งสิ้น 

             ประการที่สาม  วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่จะระเบิดขึ้นในอเมริกา ความเฟื่องฟูสูงสุดทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องมาร่วม 10 ปีแล้วอย่างหนึ่ง และวิถีดำเนินแห่งทฤษฎีเศรษฐกิจอเมริกา หรือที่เรียกว่าทฤษฎีคลื่นยาว หรือทฤษฎี Long Wave อีกอย่างหนึ่ง ได้บ่งบอกว่าอัตราการเติบโตและความเฟื่องฟูของอเมริกาได้มาถึงจุดสูงสุด ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่แล้ว แต่ที่ยังไม่ระเบิดให้สะเทือนสะท้านโลกก็เพราะว่าความเสียหายทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากวิกฤติทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียได้กลายเป็นกำไรให้กับอเมริกามากมายมหาศาลสุดคณานับ ทั้งที่เป็นผลโดยตรงจากการทำธุรกิจปกติ และจากการร่วมสมคบกับบริวารหุ่นในภูมิภาคเอเชีย ปล้นชิงเอาด้วยกำลังอำนาจทางการเงินที่เหนือกว่า ผลกำไรมหาศาลเหล่านี้คือปัจจัยเดียวที่ค้ำจุนเศรษฐกิจและความเฟื่องฟูของอเมริกาไว้ในทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษก่อน 

             แต่ลัทธิบริโภคนิยมของอเมริกานั้น อุปมาดั่งกองไฟยิ่งสุมฟืนมากเท่าใดกองไฟยิ่งร้อนแรง เผาผลาญฟืนมากและเร็วขึ้นเท่านั้น ดังนั้นภายในสองทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 ความมั่งคั่งจากผลกำไรทั้งปวงจากพิบัติของหลายประเทศในเอเชียก็จะสูญสิ้นไป และเมื่อนั้นการพังทะลายของระบบเศรษฐกิจของอเมริกาก็จะเกิดขึ้น แบบที่เคยเกิดขึ้นแล้วในปี 1929 หรือในรอบ 70 ปี ก่อนหน้านั้น อันจะมีผลกระทบอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก 

             ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ก็คือระบบเงินตราที่ยึดถือในพระเจ้าเพียงอย่างเดียวของอเมริกา โดยปราศจากเงินสำรองค้ำประกันหรือรองรับ ถึงขนาดได้ประกาศโดยเปิดเผยไว้ในธนบัตรของอเมริกาว่า “In God We Trust” เพราะเหตุที่อ้างเอาพระเจ้าเป็นที่พึ่งเช่นนี้ อเมริกาจึงใช้ความมั่งคั่งจากทั่วโลกด้วยการพิมพ์ธนบัตรโดยไม่จำกัด และโดยไร้ซึ่งเงินสำรองใด ๆ ในขณะที่ทุกประเทศล้วนต้องมีเงินสำรองทั้งสิ้น นั่นคืออเมริกาเป็นลูกหนี้รายใหญ่ของโลกที่ไม่มีหลักประกันใด ๆ ดังนั้นเมื่อวิกฤติครั้งนี้มาเยือนย่อมเกิดการเทขายเงินดอลลาร์ครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ประเทศใดและผู้ใดขายเงินดอลลาร์ได้ทันก็จะรอดตัวไป แต่ประเทศใดและผู้ใดขายไม่ทันก็จะต้องประสบกับชะตากรรมและหายนะ ในขณะที่ดอลลาร์สหรัฐมีฐานะครอบงำโลกในปัจจุบันนี้ หากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ย่อมกระทบกับระบบเศรษฐกิจของโลกครั้งใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย และนี่คืออันตรายที่ยิ่งใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ และมวลมนุษย์กำลังก้าวไปสู่ความเสี่ยงที่มีอัตราสูงขึ้นทุกที

             ประการที่สี่   การขาดแคลนอาหารของพลโลกที่อยู่ในภาวะทรงกับทรุดมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่แล้วจะยังคงดำเนินต่อไป และยังความทรมานปวดร้าวให้แก่พลโลกไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งอาจจะถึงกลางของศตวรรษนี้ การแก้ไขปัญหาขาดแคลนอาหารจะกลายเป็นภารกิจที่สำคัญของประชาชาติทั่วโลก โดยเฉพาะองค์การโลก แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพของโลกที่ต่อเนื่องมาจากศตวรรษก่อนได้เปิดประตูให้แก่ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาขาดแคลนอาหารของโลกในศตวรรษนี้ 

             ตั้งแต่กลางศตวรรษที่แล้ว แม้ว่าโลกจะตื่นตัวถึงการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก และได้กำหนดมาตรการควบคุมประชากร จนได้ผลมาระดับหนึ่งแล้ว แต่อาหารที่โลกผลิตได้ก็ยังคงขาดแคลนอยู่นั่นเอง สำหรับธัญพืชต้องอาศัยน้ำมือชาวโลกเพาะปลูกทั้งสิ้น การขาดแคลนอาหารจำพวกสัตว์น้ำได้ผลักดันให้เกิดการค้นคว้าการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและสัตว์ทะเลนานาชนิด จนหลายชนิดเพียงพอต่อการบริโภคในระดับหนึ่งแล้ว ส่วนปศุสัตว์นั้นเล่าแม้ว่าต้องใช้เวลาเลี้ยงนาน แต่ก็ได้พัฒนาคุณภาพและปริมาณไปอย่างเห็นได้ชัด แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนได้ 

             ความก้าวหน้าทางวิทยาการด้านเกษตรและเทคโนโลยีทางชีวภาพจะทำให้ธัญพืชเพาะปลูกได้มากขึ้น มีคุณภาพมากขึ้น และจะไปสู่ระดับที่พอเพียงต่อความต้องการในครึ่งหลังของศตวรรษนี้ โลกจะใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกน้อยลงหรือเท่าเดิม แต่กลับได้ผลผลิตมากขึ้น คุณภาพดีขึ้น เหล่านี้ได้มาด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาการ แต่จะต้องจ่ายค่าทดแทนด้วยพิษร้ายต่าง ๆ และโรคชนิดใหม่ที่จะต้องเกิดขึ้นตามกฎความยุติธรรมแห่งสรวงสวรรค์ 

             ความก้าวหน้าของโลกจะทำให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทั้งสัตว์น้ำจืด และสัตว์น้ำเค็มประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นจากศตวรรษก่อน และเป็นผลให้การเพาะเลี้ยงตลอดจนการผลิตสัตว์น้ำได้ผลเพิ่มมากขึ้น และมีคุณค่าทางอาหารเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงถึงราคาซึ่งย่อมผันแปรไปตามภาวะตลาดในแต่ละขณะ แต่แน่นอนโลกต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นภัยพิบัติต่อมวลมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน 

             ส่วนปศุสัตว์นั้น   ความก้าวหน้าทางวิทยาการนับถึงขณะนี้ยังไม่อาจร่นระยะเวลาการเพาะเลี้ยงให้สั้นลงได้มากมายนัก ยกเว้นสัตว์บางจำพวก เช่น ไก่ หมู ซึ่งบัดนี้ได้แปรสภาพเป็นโรงงานแปรรูปสารเคมีให้เป็นเนื้อไก่และเนื้อหมูไปแล้ว แต่วิทยาการที่ก้าวหน้าก็สามารถทำให้การผลิตได้ผลมากและราคาถูกลง จนถูกกว่าราคาเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อเพราะต้องใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงหลายปีกว่าจะผลิตเนื้อสัตว์ให้มนุษย์ได้บริโภค 

             ผลการค้นคว้าที่สืบเนื่องจากศตวรรษที่แล้วได้เกิดรากฐานของความสำเร็จที่จะผสมข้ามเผ่าพันธุ์ระหว่างธัญพืชกับสัตว์จำพวกเนื้อที่เผยอนาคตให้เห็นแล้วว่ามนุษย์จะสามารถปลูกธัญพืชที่มีเนื้อและรสชาติอย่างเดียวกับเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อควาย เนื้อเก้ง ได้ตามความประสงค์ และเมื่อใดที่ความสำเร็จนั้นสามารถพัฒนาในเชิงปริมาณไปได้อีกก้าวหนึ่ง ราคาก็จะถูกลงตามกลไกของตลาด 

             เหล่านี้คือทิศทางที่บ่งบอกว่าการขาดแคลนอาหารของโลกในศตวรรษหน้าจะค่อย ๆ คลี่คลายไป ในขณะที่โลกและมนุษย์จะต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยความเสี่ยงนานาชนิด แม้ชีวิตมนุษย์ก็จะแก่เร็ว และอายุสั้นลง สภาพนี้ได้เปิดเผยให้เห็นแล้วในปลายศตวรรษก่อนที่มนุษย์เราแก่เร็วขึ้น สีผมขาวเร็วขึ้น เด็ก ๆ เจริญพันธุ์เร็วขึ้น และภาวะชราภาพก็มาเยือนเร็วขึ้น ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงพัฒนาการของโรคภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากความก้าวหน้าทางวิทยาการและเป็นผลจากการผสมข้ามเผ่าพันธุ์ของพืช คน และสัตว์ หรืออันตรายจากการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ หรือเครื่องมือฆ่าคนชนิดใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในศตวรรษนี้ 

             ประการที่ห้า  วิถีชีวิตมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นกลไกมากขึ้น ไร้จิตใจมากขึ้น และมีสภาพที่คล้ายกับหุ่นยนต์มากขึ้น เมื่อประกอบเข้ากับความสำเร็จในการสร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่มีโครงสร้างสมบูรณ์ที่สุด มีความเฉลียวฉลาดสูงสุด แข็งแรงที่สุด มีประสิทธิภาพสูงสุด บริโภคน้อยที่สุด แต่ทำงานได้มากที่สุดแล้ว ความขัดแย้งของมนุษย์ธรรมชาติกับมนุษย์พันธุ์ใหม่ก็จะมีมากขึ้น  สังคมจะตกอยู่ในสภาพที่หากมองไปจากปัจจุบันแล้วจะไม่เหลือสภาพปัจจุบันอยู่เลย แต่จะเป็นสภาพใหม่ไม่ต่างกับภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ได้จินตนาการไว้ในศตวรรษก่อน 

             พัฒนาการของคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสื่อรวมศูนย์ หรือ Multimedia ที่ก่อรากฐานขึ้นในศตวรรษก่อน ได้ผลิตคนจำพวกหนึ่งที่เรียกว่ามนุษย์ผีดิบ หรือ Zomby ขึ้นแล้ว คนเหล่านี้ใช้เวลาวันคืนอยู่กับโลกสี่เหลี่ยมคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ไม่สนใจใยดีสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ก็สามารถติดต่อเชื่อมโยงเข้ากับคนจำพวกเดียวกันที่อยู่ในโลกสี่เหลี่ยมด้วยกันได้ทั่วโลก 

             คนจำพวกหนึ่งที่ผูกติดตัวเองไว้กับโลกสี่เหลี่ยมของคอมพิวเตอร์จะเพิ่มปริมาณขึ้น ในขณะที่คนจำพวกหนึ่งซึ่งไม่สามารถผูกติดตัวเองไว้กับเครือข่ายดังกล่าวได้นี้ จะทำให้คนทั้งสองจำพวกนี้ค่อย ๆ ห่างไกลมากขึ้นทุกที จนโลกต้องกลายเป็นสองโลกคือคนจำพวกหนึ่งยังติดอยู่กับโลกธรรมชาติใบกลม ๆ และอีกจำพวกหนึ่งติดอยู่กับโลกสี่เหลี่ยมของคอมพิวเตอร์ทั้ง ๆ ที่อยู่ในผืนพิภพเดียวกัน 

             ความขัดแย้งของคนสองโลกนี้ย่อมมีทั้งสองด้านคือด้านที่เป็นปรปักษ์และด้านที่สร้างสรรค์ สำหรับด้านที่เป็นปรปักษ์ย่อมก่อเกิดเป็นความขัดแย้งตามขนาดและปริมาณของมันตามกฎแห่งความขัดแย้งที่มีการทำลายล้างเป็นผลบั้นปลาย ส่วนด้านที่สร้างสรรค์นั้นจะปลุกให้ส่วนหนึ่งของคนทั้งสองโลกได้ตื่นขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงว่า ถึงแม้วิทยาการทั้งปวงจะพัฒนาก้าวรุดหน้าไปสักปานใด ชีวิตก็ไม่อาจหลุดพ้นไปจากความแก่ ความเจ็บ และความตายได้ ไม่อาจหลุดพ้นไปจากความทุกข์ ความโศก โรคภัยและพิบัติต่าง ๆ ได้ ความตื่นตัวนี้จะทำให้คนจำนวนหนึ่งหวนคืนกลับสู่โลกธรรมชาติ กระทั่งเดินทางลึกเข้าไปยังโลกภายในที่มนุษย์ได้ห่างไกลมาเป็นเวลาช้านาน 

             ความจริงที่คนเหล่านั้นได้พบเห็นตามความเป็นจริงของโลกธรรมชาติ และโลกภายในจะทำให้เกิดความตื่นตาตื่นใจเหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในพุทธกาล ก่อแรงบันดาลใจและพลังวิริยภาพในการฝึกฝนตนและค้นคว้าความจริงให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ในที่สุดก็จะมีคนจำนวนมากขึ้นที่ก้าวรุดหน้าไปถึงซึ่งความว่างและความหลุดพ้นจากพันธนาการของความมีและความไม่มี 

             ความขัดแย้งและการขีดเส้นแบ่งระหว่างคนสองจำพวกที่ติดยึดอยู่ในโลกธรรมชาติใบกลม และโลกสี่เหลี่ยมของคอมพิวเตอร์จะเกิดขึ้นต่อเนื่องและยาวนาน และในท่ามกลางความขัดแย้งนั้นเอง หน่อเนื้อใหม่ของการเดินหนทางวิถีธรรมชาติ คืนสู่ธรรมชาติก็จะเกิดขึ้นคู่ขนานไป 

             ประการที่หก  ระบบศักดินาและระบบทุนนิยมของโลกจะสูญสิ้นไปจากโลก ชนกรรมาชีพจะครองโลก 

             กลางศตวรรษที่แล้วระบบศักดินาของโลกได้เริ่มพังทะลายลง และเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งในปลายศตวรรษ ในขณะที่ก่อเกิดระบบทุนนิยมใหม่ของโลกขึ้น และพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งได้รับการขนานนามพัฒนาการนั้นว่าทุนนิยมได้พัฒนาไปถึงระดับจักรวรรดิ์นิยมแล้ว 

             แต่ความจริงก็คือทุนนิยมยิ่งพัฒนาไปเพียงใด กรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลก็ถูกทำลายไปเท่านั้น วิสาหกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกขณะนี้แทบจะไม่มีบุคคลใดสามารถถือกรรมสิทธิ์จนเป็นเสียงข้างมากได้แล้ว ผู้ถือหุ้นของวิสาหกิจเหล่านั้นได้เปลี่ยนจากบุคคลเป็นนิติบุคคลไปเกือบทั้งหมด ยิ่งมีการควบรวมมากขึ้นเท่าใด กรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลก็หมดสิ้นไปเท่านั้น การควบรวมได้ก้าวข้ามล้ำพรมแดนของรัฐไปทั่วโลกกว้าง เกิดบรรษัทข้ามชาติที่ผู้คนสามารถรวมตัวอยู่ร่วมในองค์กรเดียวกันได้ โดยไม่คำนึงถึงดินแดน เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา หรือวัฒนธรรมเป็นสิ่งกีดกั้นอีกต่อไป ประชากรของ   มิตซุยในเยอรมันตื่นเช้าเข้าแถวร้องเพลงของมิตซุยเป็นสรณะ โดยที่ไม่เหลียวแลธงและเพลงชาติของตนเองอีกต่อไป เป็นเพียงตัวอย่างน้อยนิดเท่านั้น บรรษัทข้ามชาติเหล่านี้ได้ก่อรูปสถานะเป็นรัฐใหม่ ที่มีรัฎฐาธิปัตย์โดยตนเอง มีงบประมาณของตนเอง มีบุคคลากรของตนเอง มีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง มีระบบระเบียบในการปกครองเป็นของตนเอง ความเป็นรัฎฐาธิปัตย์นี้ได้ก้าวล้ำพรมแดนของรัฐต่าง ๆ และดำเนินการอยู่ในรัฐต่าง ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์

          ภายในองค์กรของรัฐชนิดใหม่นี้ไม่มีชนชั้นศักดินาหรือชนชั้นนายทุนอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นชนชั้นใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมกับพัฒนาการของทุนนิยมและความก้าวหน้าทางวิทยาการบริหารการจัดการ ซึ่งก็คือชนชั้นกรรมาชีพ

          ชาวสังคมนิยมเคยให้ความหมายชนชั้นกรรมาชีพว่าหมายถึงชาวนา และกรรมกร ความหมายนี้ได้ครอบคลุมบรรยากาศทางรัฐศาสตร์ของโลกเกือบครึ่งหลังของศตวรรษที่แล้ว โดยปราศจากการเฉลียวใจว่านั่นเป็นการให้ความหมายที่ผิดพลาดไปจากแนวคิดของมาร์คและเลนิน จะเป็นไปได้อย่างไรที่กลุ่มอาชีพล้าหลังทางเศรษฐกิจ เช่นชาวนาหรือกรรมกรจะเป็นผู้นำการปฏิวัติของโลก หรือเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของโลก ใครไหนจะยอมรับการนำชนิดนี้ ประวัติศาสตร์ครึ่งหลังของศตวรรษที่แล้วได้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้ว

           ชนชั้นกรรมาชีพก็คือพวกมืออาชีพ หรือที่เรียกกันว่าพวก Professional

          ชนชั้นนี้ไม่ใช่พวกเจ้าขุนมูลนาย และไม่ได้มีทุนมากมายเหมือนกับพวกชนชั้นนายทุน แต่คนชนชั้นนี้คือผู้มีความรู้ทั้งด้านวิทยาการ ข่าวสาร ข้อมูล และรู้ว่าอะไรควรจะทำอย่างไร (Knowhow) คนกลุ่มนี้ได้ก้าวเข้าสู่การบริหารการจัดการองค์กรธุรกิจตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่แล้ว และขยายบทบาทมากขึ้นจนมีฐานะครอบงำองค์กรธุรกิจและบรรษัทข้ามชาติทั่วโลก กระทั่งมีบทบาทในการกุมอำนาจรัฐมากขึ้นทุกที ในปลายศตวรรษที่แล้วปรากฏว่าอำนาจรัฐทั้งอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศสและอีกหลายประเทศได้ตกอยู่แก่ชนชั้นกรรมาชีพแล้ว  ดังนั้นบทบาทของชนชั้นกรรมาชีพจะพัฒนาไปและจะมีบทบาทชี้ขาดในการกุมอำนาจรัฐของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในศตวรรษนี้ 

          ทั้งหกประการนี้คือความเปลี่ยนแปลงใหญ่ของโลก นับแต่รุ่งอรุณแห่งศตวรรษที่ 21 เป็นต้นไป และความเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน

          เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2542 หนังสือพิมพ์ผู้จัดการโดยคอลัมน์นี้ได้คาดการณ์สถานการณ์ประเทศไทยในปี 2542 ภายใต้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไว้ 10 ประการ คือ

          ประการแรก  รายได้ประชาชนทุกคนจะลดต่ำลงต่อเนื่องจากปี 2541

          ประการที่สอง  การผลิต การปิดกิจการ การว่างงาน อาชญากรรม ปัญหาสังคม การฆ่าตัวตายจะเพิ่มขึ้น รายได้ของรัฐบาลจะลดลง การพัฒนาประเทศหยุดชะงักงัน การลดจำนวนข้าราชการและพนักงานจะเกิดขึ้น

          ประการที่สาม  ประเทศไทยจะสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันทางการค้ากับต่างประเทศ ทั้งการค้าและบริการ ทำให้รายได้ของประเทศลดลง

          ประการที่สี่ การลงทุนจากต่างประเทศจะลดลง

          ประการที่ห้า  ประชาชนทุกคนจะยากจนลงต่อเนื่องจากปี 2541

          ประการที่หก กิจการอันเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจของประเทศ เช่น ธนาคาร สถาบันการเงิน และพลังงานจะถูกบังคับขายให้แก่ต่างชาติในราคาต่ำสุด และต่างชาติจะเข้าครอบงำเศรษฐกิจของประเทศจนประเทศไทยจะต้องตกเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจ

          ประการที่เจ็ด ความเดือดร้อนของประชาชนคนยากคนจนจะลุกลามขยายตัว และนำไปสู่การลุกขึ้นสู้ขับไล่รัฐบาลต่อไป

          ประการที่แปด  รัฐบาลจะยอมจำนนต่อการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงมากขึ้น คนชั่วจะฮึกห้าวเหิมหาญย่ำยีประเทศชาติและประชาชนรุนแรงขึ้น หน้ากากของนักการเมืองที่ขายชาติ ปล้นชาติ และปลิ้นปล้อนจะถูกกระชากหน้ากากออกให้ได้เห็นกัน

          ประการที่เก้า  การใช้เงินสกุลใหม่ในยุโรปจะทำให้กระแสเศรษฐกิจโลกปั่นป่วน กระทบต่อประเทศไทย ทั้งการลงทุน และด้านเงินตรา โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกจะได้รับความเสียหาย

          ประการที่สิบ รัฐบาลจะก่อหนี้สินผูกพันประเทศชาติมากขึ้น ทำให้ประเทศไทยก้าวจากความยากจนไปสู่ภาวะล้มละลาย

          การคาดการณ์ทั้งสิบประการดังกล่าว บัดนี้ปรากฎเป็นจริงขึ้นแล้ว และจะส่งผลต่อไปในปี 2543 เว้นเสียแต่อำนาจรัฐที่เป็นเหตุแห่งผลดังกล่าวจะได้พ้นไปจากอำนาจเสียก่อน

          ในเดือนมีนาคม 2543 จะมีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญใหม่เป็นครั้งแรกที่สมาชิกวุฒิสภาได้เปลี่ยนสภาพจากผู้แทนแห่งฟ้า (พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง) ที่เคยเป็นมาแต่เดิมกลายเป็นผู้แทนของไพร่ฟ้า (ราษฎรเลือกตั้ง) อย่างเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัดนี้พอที่จะคาดผลที่แท้จริงได้แล้วว่าสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ ส่วนใหญ่จะกลายเป็นสมุนบริวารของนักการเมือง  เมื่อเป็นเช่นนี้เจตนารมย์ในการปฏิรูปการเมืองของประชาชน เพื่อให้เกิดประโยชน์และความสุขแก่ประชาชนทั่วประเทศก็ได้ถูกทำลายลง เพราะสภาพเช่นนี้ไหนเลยวุฒิสภาจะสามารถทำหน้าที่อิสระ ไม่ขึ้นต่อพรรคการเมืองหรือนักการเมืองได้ ดังนั้นจึงต้องโทษหัวหน้าขบวนธงเขียวที่เป็นหัวโจกในการผลิตรัฐธรรมนูญชนิดนี้ และต้องโทษพรรคการเมืองเก่าบางพรรคที่สมคบช่วงชิงเชิงกระทำทางการเมืองโดยไม่คำนึงว่าผลร้ายจะเกิดขึ้นแก่บ้านเมืองถึงเพียงนี้ 

          การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีขึ้นในปีนี้ ถ้าหากว่าอำนาจรัฐที่บงการ การเลือกตั้งเป็นธรรม ผลการเลือกตั้งย่อมได้ธรรม แต่ถ้าหากอำนาจรัฐที่บงการการ เลือกตั้งนั้นเป็นอธรรม ผลการเลือกตั้งย่อมได้เผด็จการ และเผด็จการก็จะครอบงำประเทศไทยต่อไปอีก 4 ปี 

          ปี 2543 จึงเป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญสูงสุดของบ้านเมืองและสถาบันสำคัญสูงสุดทุกสถาบัน

          ยุคชาวศิวิไลซ์อันเป็นยุคหลังสุดแห่งคำพยากรณ์กรุงรัตนโกสินทร์มาถึงแล้ว แต่ขณะเดียวกันนั้นนายยอดธง ทับทิวไม้ บรมครูผู้เป็นเอกทางวิชาโหราศาสตร์ของประเทศไทยที่แท้ในยุคนี้ก็ได้กล่าวว่ากรุงรัตนโกสินทร์ได้ผ่านยุคที่เก้าชาวศิวิไลซ์มาแล้ว และอยู่ในยุคใหม่ที่เรียกว่าไทยขายชาติ ต่อเนื่องกับอีกยุคหนึ่งคือยุคราษฎร์ร่วมสู้ ซึ่งแม้จะเป็นศาสตร์แห่งโหราอันลี้ลับ แต่นับว่าน่าสนใจไม่อาจมองข้ามได้เลย

          ความจริงการแก้ไขคำพยากรณ์กรุงรัตนโกสินทร์ได้กระทำมาแล้วถึงสองครั้ง คือครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงวิทยาด้านโหราศาสตร์และพิธีไสย ทรงทำพิธีใหญ่เพื่อแก้ไขเคล็ดแห่งอาถรรพ์จากพิธีกรรมวางศิลาฤกษ์ศาลหลักเมือง  และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ก็มีพิธีใหญ่ครั้งที่สอง    ประดุจพิธียอไกรลาศครั้งที่ทศกัณฐ์จับอรชุนฟาดลงกับเชิงเขาไกรลาศจนทรุดเอียง และต้องทำพิธียอเขาไกรลาศ ให้ตั้งตรงมั่นคงยิ่งขึ้น

          พิธีใหญ่ในครั้งที่สองนี้ ก็คือพิธีการอันประกอบด้วยการบูรณะเสาหลักเมืองใหม่ วางตำแหน่งในปูมภูมิชัยสถานหนึ่ง เพิ่มยอดมณฑปของศาลพระหลักเมืองขึ้นอีกเท่าตัวสถานหนึ่ง และพิธียกตรีศูนย์เหนือศาลพระหลักเมืองอีกสถานหนึ่ง  สามสถานนี้ประกอบแล้วเพื่อผลความยืนยาวสันตติแห่งยุคไปอีกเก้ายุค

          ดวงจิตอันใดแห่งพระองค์ใดที่ได้ตั้งอธิษฐานในพิธีการเชิญตรีศูนย์ขึ้นเหนือศาลพระหลักเมืองนั้น ดวงจิตนั้นแห่งพระองค์นั้นคือกุญแจลับอันสำคัญที่จะไขประตูสวรรค์ เบิกขยายยุคจากเก้าไปถึงสิบแปด

           ชนเหล่าใดใฝ่ในอำนาจ แม้ว่าจะรวมศูนย์ไว้ได้ ทั้งอำนาจรัฐ อำนาจเงิน และอำนาจสื่อ ถึงจะมั่นใจและฮึกเหิมในอำนาจ ตลอดจนแผนการไกลสักเพียงไหน ควรจะได้รำลึกตระหนักว่า คนดีมีวิชาประจำแผ่นดินที่สามารถคิดอ่านการแก้ไขธำรงค์ธงชัยไว้ในแผ่นดินก็มีอยู่

          และนับถึงบัดนี้เชื้อวงศ์พระร่วงเจ้าอันสถาปนาเป็นใหญ่แล้ว ณ สยามประเทศนี้ ก็ยั่งยืนมาเป็นเวลานานช้า ยังคงสถิตย์สถาพรมั่นคง ทั้งประวัติศาสตร์ก็ได้บ่งชี้ยืนยันว่าสกุลวงศ์ฝ่ายเหนือใด ๆ ไม่เคยและไม่สามารถที่จะก่อบทบาทครอบงำอาณาจักรอันมีนามสยามประเทศนี้ได้เลย

          แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ กลุ่มเหล่าผู้คิดร้ายต่อแผ่นดินย่อมไม่อาจทานต่อบารมีแห่งพระสยามเทวาธิราช ตลอดจนพระหลักเมือง พระเสื้อเมือง พระทรงเมืองไปได้เป็นมั่นคง

          กิจกรรมหลักที่จะเกิดขึ้นหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุด จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นสองประการ คือการขายทรัพย์สมบัติของชาติ ปลดอาวุธกำลังทางเศรษฐกิจของประเทศ เป็นบรรณาการให้แก่ต่างชาติประการหนึ่ง และการเตรียมพลังทั้งผองเพื่อยึดครองอำนาจรัฐต่อไปอีกประการหนึ่ง 

          ทั้งสองสถานนี้มีผลบั้นปลายระยะใกล้ก็คือประชาชนชาวไทยตกเป็นทาส ประเทศชาติตกเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจ

          ในระยะกลางเมื่อเริ่มจากการวางรากฐานแปรประเทศไทยให้เป็นระบอบสาธารณรัฐ ที่มีรากเหง้าอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในบทที่ว่าด้วยองค์การบริหารท้องถิ่นซึ่งกินความหมายถึงมลรัฐอย่างชัดแจ้ง ซึ่งเผยโฉมชัดให้เห็นในวาระที่ผ่านมาจากการตรากฎหมายที่ให้เลือกตั้งนายกเทศมนตรีโดยตรง เพื่อสร้างความคุ้นเคยและความเคยชินในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในอนาคต ลำดับมาถึงการบรรณาการทรัพย์สมบัติของชาติให้แก่ต่างชาติ รวมทั้งทำให้ประเทศไทยตกเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจแล้ว ทิศทางใหญ่ของประเทศจึงเสี่ยงที่จะก้าวไปในทิศทางระบอบสาธารณรัฐอย่างน่าระทึกใจยิ่ง

          รุ่งอรุณแห่งศตวรรษที่ 21 สำหรับประเทศไทยและประชาชนไทยจึงเป็นรุ่งอรุณที่หนาวเหน็บเข้าไปถึงหัวใจของไทยทุกคน ความประหวั่นพรั่นพรึงและหวั่นกลัวภัยคุกคามแห่งเผด็จการได้แผ่ซ่านปกคลุมสยามประเทศ ในขณะที่ไม่เห็นหนทางใดที่จะเงยหน้าอ้าปากให้มีรายได้พอมีพอกิน ไม่ต้องดิ้นรนหรืออดตายกันต่อไป

          สภาพเช่นนี้มีแต่ต้องแผ่เมตตาให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อยู่รอดปลอดภัย มีความสุข ความเจริญทั่วกัน ด้วยพระคาถาย่อว่า

          “สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ อัพะยา ปัชฌา โหนตุ อะนีฆา โหนตุ สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ” ซึ่งแปลว่า “สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุข อย่าได้มีเวรแก่กันและกัน อย่าได้เบียดเบียน