หน้าต่างความคิด. : เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 1 กรกฎาคม 2554
วันชี้ชะตาการเมืองไทยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลายคนตัดสินใจได้แล้วว่าจะเข้าคูหากาให้พรรคไหน บางคนยังลังเลอยู่ ขอเก็บข้อมูลไปก่อน
แล้วค่อยตัดสินใจเอาตอนใกล้ลงคะแนน หรือไม่ก็ไปว่ากันในคูหาเลือกตั้งเลย
แม้ว่าการเลือกตั้งคราวนี้จะมีสีสันแตกต่างจากการเลือกตั้งหลายครั้งก่อนหน้านี้อยู่บ้าง แต่โดยเนื้อหาสาระแล้ว แทบไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม ผู้สมัครเด่นๆ ของพรรคขนาดใหญ่และพรรคขนาดกลาง ส่วนมากเป็นคนที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี หากได้รับเลือกเข้ามาคงไม่แคล้วทำตัวเหมือนเดิม เมื่อเป็นแบบนี้จะเลือกใครกันดี
ถ้าไม่ได้รักใครชอบใครแบบหัวปักหัวปำไม่ลืมหูลืมตา ก็พอจะมีวิธีช่วยตัดสินใจอยู่วิธีหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ นั่นคือ การวิเคราะห์ด้านมืดของนโยบาย ว่า หากเอานโยบายเหล่านั้นมาใช้จริงๆ แล้วผลเสียที่ตามมาจะเป็นอย่างไรบ้าง
วิธีการแบบนี้ ประยุกต์มาจากหลักทางเศรษฐศาสตร์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งในบางกรณี ถ้าเราหาทางเลือกที่ดีที่สุดไม่ได้ และโครงการนั้นต้องเดินหน้าต่อไป เกณฑ์ในการตัดสินใจ ก็คือ ทำอย่างไรจึงจะลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้เหลือน้อยที่สุด
พรรคการเมืองทุกพรรคมีนโยบายของตัวเอง แต่ละพรรคต่างก็พยายามจูงใจให้ประชาชนเชื่อว่านโยบายของตัวเองเป็นนโยบายที่ดี มีประโยชน์ต่อตัวของผู้ลงคะแนนและบ้านเมือง เอาแต่ด้านสว่างของตัวเองมาพูด ราวกับว่านโยบายเหล่านี้เป็นของฟรี ไม่มีผลกระทบด้านลบ
การนำเสนอแต่ด้านดีของนโยบายนี้ สอดคล้องกับหลักการทำตลาด แต่ขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ เพราะในความเป็นจริงแล้วของฟรีไม่มีในโลก นโยบายทุกเรื่องมีต้นทุนด้วยกันทั้งนั้น ทุกพรรครู้เรื่องนี้ดี แต่คงกลัวว่าถ้าเอาต้นทุนระยะสั้นและระยะยาวมาตีแผ่แล้ว โครงการสร้างวิมานในอากาศเหล่านี้ อาจจะไม่สวยหรูเหมือนที่หวังไว้ ต้นทุนจึงกลายเป็นด้านมืดของนโยบายที่คนไทยไม่ค่อยมีโอกาสจะได้รับรู้กัน
นโยบายแต่ละเรื่องมีคนได้คนเสียต่างกัน สมมติว่าพรรคการเมืองหนึ่งชูนโยบายปฏิรูปการศึกษา ยกระดับมาตรฐานการศึกษาในมหาวิทยาลัยของเราให้เท่าเทียมกันประเทศที่พัฒนาแล้ว คนที่ได้ประโยชน์ในระยะสั้นโดยตรงคือลูกหลานเยาวชนไทย ถ้าเป็นพรรคมีเครดิตดี สัญญาอะไรไว้แล้วทำตามสัญญาเสมอ มีแผนการปฏิรูปชัดเจน คนที่มีลูกหลานอยู่ในวัยกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยคงตบมือชื่นชม พร้อมให้การสนับสนุน
แน่นอน นโยบายแบบนี้ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล เพราะไหนจะต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาในมหาวิทยาลัยให้พร้อม ปรับโครงสร้างเงินเดือนเพื่อจูงใจให้คนเก่งเข้ามา จัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนาการสอน และค่าใช้จ่ายยิบย่อยอีกสารพัด
หากพรรคการเมืองนี้ใจถึง และหวังดีต่อชาติบ้านเมืองจริงๆ ก็น่าจะเอาเอกสารการศึกษาผลกระทบของนโยบายนี้ออกมาเผยแพร่ แจกแจงรายละเอียดออกมาให้ชัดเจนว่าจะต้องใช้เงินทั้งหมดสักเท่าไร ระยะเวลาในการดำเนินงานประมาณกี่ปี แล้วเงินก้อนนี้จะเอามาจากไหน ใครบ้างที่ต้องรับภาระ ภาระนั้นมาน้อยแค่ไหน ระยะเวลาเท่าไร ไม่ใช่อ้างพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า คณะทำงานของพรรคได้ "ศึกษา" กันมาแล้ว ครั้นจะอ้างว่าพิมพ์ไม่ทันก็ยิ่งน่าตลกเข้าไปใหญ่ ถ้าตั้งใจกันจริงๆ เอาไปแปะไว้บนเว็บไซต์ของพรรคก็ได้ เดี๋ยวคนเขาก็ดาวน์โหลดไปอ่านกันเอง
หลายคนอาจจะรู้สึกว่าคนไทยเลือกไม่เป็น เลือกพรรคไหนมาเป็นรัฐบาลก็มีปัญหาทุกที ความจริงแล้ว คนไทยส่วนใหญ่เลือกเป็น แต่คนไทยไม่เคยมีข้อมูลมากพอที่จะเลือกได้อย่างถูกต้อง เมื่อขาดโอกาสรับรู้ข้อมูลทั้งด้านมืดและด้านสว่างของนโยบายต่างๆ อย่างครบถ้วน ก็เลยไม่รู้จะชั่งน้ำหนักยังไง สุดท้ายก็เลยเลือกตามข้อมูลที่มีอยู่ในมือ
การหมกเม็ดด้านมืดของนโยบายนี้มีผลทางจิตวิทยาในระยะยาว การเมืองซึ่งเต็มไปด้วยสัญญิงสัญญาว่าจะให้ ไม่ต่างอะไรกับการสอนให้คนเอาแต่แบมือขอ เสพติดของฟรี มีอะไรก็เรียกร้องความช่วยเหลือจากรัฐ ยิ่งนานวันเข้า ภาระทางการคลังของบ้านเมืองก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น กดดันให้รัฐต้องหารายได้หรือไม่ก็ลดค่าใช้จ่ายด้านอื่น หรืออาจต้องทำสองอย่างไปพร้อมกัน
หากมองด้วยหลักเศรษฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเลือกหารายได้ชดเชยด้วยวิธีไหน ผลเสียที่ตกอยู่กับประชาชนเหมือนเดิม เพราะเป็นการดึงเอาทรัพยากรจากคนกลุ่มหนึ่งไปเอื้อประโยชน์ให้กับคนกลุ่มอื่น
ถ้าเป็นการเพิ่มภาษี เงินทองซึ่งหามาได้และควรจะเป็นของเรากลับต้องโดนหักไปจ่ายภาษีมากกว่าเดิม เพราะพรรคการเมืองซึ่งเป็นรัฐบาลต้องการจะเอาเงินไปใช้ช่วยคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นฐานเสียงของตัวเอง
หากช่วยแล้วสังคมดีขึ้นเศรษฐกิจเข้มแข็ง รายได้ในอนาคตเพิ่มขึ้นจนชดเชยกับภาระภาษีก็แล้วไป แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น พฤติกรรมของพรรคการเมืองก็ไม่ต่างอะไรกับการปล้นกันหน้าด้านๆ การกระทำแบบนี้ขัดกับหลักการของประชาธิปไตยที่ต้องปกป้องสิทธิส่วนบุคคล ทำไปทำมา กระบวนการประชาธิปไตยกลายเป็นตัวทำลายความเป็นประชาธิปไตยไปเสียเอง
อีกเรื่องที่คนห่วงมาก คือ ความวุ่นวายที่จะตามมาหลังวันที่ 3 กรกฎาคม เพราะมีแนวโน้มว่า ไม่ว่าพรรคไหนจะได้เป็นแกนนำรัฐบาล คนที่ไม่พอใจต้องออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน เหตุการณ์มีโอกาสบานปลาย จนกลายเป็นความวุ่นวายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมา ที่ส่งผลให้เกิดความร้าวฉานขึ้นในสังคม ยังไม่สามารถเยียวยาจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้น สำหรับผู้ที่ตัดสินใจเลือกพรรคใหญ่ทั้งสองพรรค อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องคิดให้หนัก คือ พรรคไหนจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ความวุ่นวายที่ตามมาหลังการเลือกตั้งได้ดีกว่า เพราะความสูญเสียทุกครั้ง เป็นต้นทุนทางสังคมที่เกิดขึ้นจากการเลือกของเรา ถ้าหาทางเลือกที่ดีที่สุดไม่ได้ ก็น่าจะเลือกทางที่เสียหายน้อยที่สุด
การหวังจะให้ประชาชนเลือกอย่างชาญฉลาด ก็ต้องเปิดโอกาสให้เขาได้ใช้ความฉลาดของตัวเอง โดยการให้ข้อมูลทุกด้านให้ครบถ้วน สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้คงไม่ทันแล้ว หวังว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปคงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ ลองนึกดูว่าถ้าพรรคการเมืองทั้งหลายออกมาโต้เถียงกันโดยยึดเอาหลักวิชา มีการนำข้อมูลมาหักล้างกัน คงจะประเทืองปัญญาดีพิลึก
ตัวตั้งตัวตีคงหนีไม่พ้น สื่อมวลชน องค์กรอิสระ และวงการวิชาการ ร่วมผนึกกำลังกันผลักดันให้เรื่องนี้เกิดขึ้น คอยตรวจสอบกำกับไม่ให้พรรคไหนลักไก่เอาตัวเลขยกเมฆมาหลอกกัน อะไรจริงอะไรเท็จเอาออกมาตีแผ่กันให้จะจะ ตรงไหนคลุมเครือก็คอยตามจี้จนกว่าจะได้คำตอบที่พอใจ เอาแสงสว่างส่องไปที่ด้านมืดกันบ้าง การเมืองไทยจะได้สดใสเสียที