หลังจากที่ตกงานอยู่นาน เมื่อเป็นโอกาสดี ได้มีบริษัทนัดสัมภาษณ์งาน และผลปรากฎว่าเกิดผ่านสัมภาษณ์ขึ้นมา เป็นใครก็คงต้องคว้าโอกาสดีแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ แต่ที่แน่ ๆ สำหรับนักศึกษาจบใหม่ คือการได้ทดลองงานก่อน อาจจะสามเดือน หกเดือน หรือหนึ่งปี ก็เป็นไปตามที่บริษัทนั้น ๆ กำหนด เพราะถึงแม้ว่าจะได้มีการดูตัวกันมาก่อนรับเข้าทำงาน ก็ยังคงต้องการความแน่ใจว่าสามารถทำงานให้ได้ตามที่อ้างไว้เป็นคุณสมบัติ หรือเปล่า หรือจะเข้ากับที่ทำงานได้แค่ไหน เจ้านายก็เลยใช้มาตรการทดลองงาน ก่อนรับเข้าเป็นลูกจ้างประจำ
เมื่อตกลงเข้าทำงาน สถานะของสองฝ่ายก็กลายเป็นเจ้านายกับลูกน้อง ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน โดยไม่จำเป็นต้องทำสัญญากันเป็นหนังสือก็ได้ โดยสิทธิหน้าที่มากมายก็เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่กฎหมายไม่ได้กำหนดประเภทลูกจ้างเอาไว้ว่าจะเป็นแบบบรรจุเลย หรือทดลองงาน
ในทางกฎหมายเมื่อมีการรับให้ทำงานกันเมื่อไหร่ ก็ถือว่าเป็นนายจ้างลูกจ้างกันเมื่อนั้น โดยไม่ต้องรอวันผ่านการทดลองงาน เจ้านายต้องจัดสวัสดิการและปฏิบัติต่อลูกน้องทดลองงานเช่นเดียวกับลูกจ้าง ทั่วไป ต่างกันก็ตรงที่มีกำหนดเวลากันเอาไว้ว่าครบเมื่อไหร่ ก็เลิกจ้างได้เมื่อนั้น แต่ต้องคำนึงถึงเวลาที่ได้มีการทำงานกันไปด้วยว่านานแค่ไหน เพราะหากไม่ผ่านการทดลองงานเมื่อไหร่ เจ้านายก็อาจต้องจ่ายเงินชดเชยให้ไปตามกฎหมาย
ถ้าให้ทดลองงานเกิน 120 วัน ต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 30 วันสุดท้าย นั่นก็คือ 1 เดือนนั่นเอง และยิ่งทำงานนานขึ้นไปเท่าไหร่ อัตราค่าชดเชยก็ยิ่งมากขึ้นไปเท่านั้น ลูกจ้างทดลองงานจึงไม่ต้องหวั่นไหวในกรณีที่ไม่ผ่านการพิจารณา ถ้าทำงานครบ 120 วัน คือประมาณ 4 เดือน ก็จะได้รับค่าชดเชย ไม่ต้องตกงานตัวเปล่า
การทดลองงานจึงเป็นช่วงเวลาสำคัญ เพราะต้องห่วงความมั่นคงอยู่ ไม่รู้จะผ่านหรือไม่ ต้องปฏิบัติตนให้ดี ให้โดนใจเจ้านาย แต่การทดลองงานเป็นเพียงเงื่อนไขในการจ้างงาน ในฐานะนายจ้างลูกจ้างที่เริ่มตั้งแต่วันที่ตกลงรับมาทำงานให้กัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นลูกจ้างตามกฎหมาย ไม่กระทบถึงความผูกพันตามกฎหมาย