ในระยะนี้มีหลายพื้นที่ในประเทศไทยที่กำลังประสบปัญหาจากอุทกภัยหรือภัยน้ำท่วม ในกรุงเทพมหานครเองแม่น้ำหลายสายเอ่อล้นจนปริ่มตลิ่ง แต่ไม่ถึงกับขั้นท่วมขังอย่างหลายๆปีที่ผ่านมา ในช่วงหลังๆดูเหมือนกรุงเทพจะจัดการกับปัญหาน้ำท่วมเมืองหลวงในช่วงปลายปีได้ดีพอสมควร
เรื่องราวของภัยจากน้ำท่วมเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีสำหรับเมืองไทยก็ว่าได้ หลายครั้งที่ประเทศไทยต้องประสบกับอุทกภัยครั้งใหญ่จนทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน กรุงเทพมหานครอันเป็นเมืองหลวงของเราเองก็เคยเกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นหลายครั้งเนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นที่ลุ่ม จึงสุ่มเสี่ยงต่อการจะเกิดน้ำท่วมขังในช่วงปลายปีเช่นนี้ ภัยจากน้ำท่วมเมืองหลวงครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยในสมัยที่กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีเกิดขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2485 ในปีนั้น น้ำท่วมขังเจิ่งนองไปทั่วเขตกรุงเทพมหานคร ประชาชนต้องอาศัยการสัญจรโดยเรือ แม้ปริมาณน้ำอาจจะไม่มากเท่าในปีหลังๆ แต่ระบบการจัดการกับปัญหาภัยน้ำท่วมในสมัยนั้นยังไม่ดีเท่าทีควรจึงทำให้กรุงเทพในปี พ.ศ.2485 ไม่ผิดอะไรกับลำธารสายใหญ่ ในปัจจุบันการจัดการเกี่ยวกับการระบายน้ำของพื้นที่กรุงเทพเป็นไปด้วยดี หลายปีแล้วที่น้ำไม่ได้ท่วมขังอย่างเก่าแม้จะปริ่มๆริมตลิ่งอยู่เกือบทุกปี เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่ทางภาครัฐต้องเฝ้าดูแลภัยดังกล่าวอย่างจริงจังเพราะกรุงเทพมหานครเป็นเกือบทุกสิ่งทุกอย่างของเมืองไทยรวมทั่งกลไกทางเศรษฐกิจดังนั้นน้ำท่วมกรุงเทพ 1 วันอาจจะนำมาสู่ความเสียหายต่างๆมากมาย
ภาพน้ำท่วมกรุงเทพเมื่อปี พ.ศ.2485
ภัยจากอุทกภัยแม้จะไม่ได้สร้างความเสียหายแก่ชีวิตของผู้คนมากไปกว่าภัยธรรมชาติชนิดอื่นแต่ภัยชนิดนี้ส่งผลกระทบต่อทรัพย์สิน บ้านเรือน ไร่นา สาโท รวมทั้งให้การสัญจรไปมาถูกตัดขาดอย่างช่วยไม่ได้
เรื่องราวของระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจนกระทั่งทำให้ เมืองทั้งเมืองหรือชุมชนทั้งชุมชนตกอยู่ภายใต้ผืนน้ำอันเย็นยะเยียบมีปรากฏอยู่อย่างสม่ำเสมอในภาพยนตร์เรื่องดังจากต่างประเทศ ในเมืองไทยเราเองก็มีภาพเมืองใต้บาดาลดังที่ว่าซึ่งอยู่ในเขตอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี บริเวณชายแดนไทย-พม่า พื้นที่ดังกล่าวครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของวัดวังก์วิเวกรามหรือที่ชาวบ้านในละแวกนั้นเรียกกันจนติดปากว่าวัดหลวงพ่ออุตตมะ สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่บนเนินสูงในบริเวณที่เรียกว่า "สามประสบ" ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำ 3 สาย คือ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ แม่น้ำรันตี ไหลมาบรรจบกัน หลวงพ่ออุตตมะถ์อว่าเป็นที่เคารพศรัทธาของคนในพื้นที่นั้นไม่ว่าจะเป็นชาวไทย พม่า กระเหรี่ยง มอญ วัดแห่งนี้ได้ก่อกำเนิดขึ้นได้การช่วยกันสร้างขึ้นระหว่างชาวบ้านและหลวงพ่ออุตมมะในปี พ.ศ. 2496นั้นเอง และได้กลายเป็นศาสนาสถานอันเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าวสืบมา จนกระทั่งในปี พ.ศ 2527 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือเขื่อนเขาแหลมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้า ทำให้เกิดน้ำท่วมขังอยู่ตลอดทั้งปีและกลายสภาพเป็เมืองบาดาล อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ทั้งนี้สถานที่ดังกล่าวถูกจัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้จัดให้เป็น 1 ในสถานที่ท่องเที่ยว Unseen Thailand แม้วัดแห่งนี้จะตกอยู่ในสภาพของเมืองบาดาลเนื่องจากการกระทำของมนุษย์เราเองแต่ภาพความเมลืองมลังของอดีตกาลที่ครั้งหนี่งเคยเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านซึ่งบัดนี้ได้จมยู่ใต้ผืนน้ำ ก็พอจะสะท้อนภาพให้เห็นถึงควาเป็นไปของโลกใต้น้ำหากเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงถึงขั้นน้ำท่วมโลกขึ้นมาจริงๆ
เมืองบาดาลเมื่อโผล่พ้นน้ำ
ส่วนในต่างประเทศ ได้มีการค้นพบเมืองเมืองโบราณที่จมหายอยู่ภายใต้ผืนน้ำกว้างใหญ่ในบริเวณชายฝั่งทะเลของประเทศอียิปต์ โดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสและอียิปต์ เมืองโบราณแห่งนี้จัดว่าเป็นเมืองโบราณที่มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์มากมีทั้งวิหารบูชาเทพเจ้า รูปปั้นรูปเคารพต่างๆที่ยังคงสภาพความสมบูรณ์ โดยเมืองดังกล่าวอยู่ลึกลงไปในทะเลประมาณ 5-10 เมตร ตั้งอยู่ห่างจาก ชายฝั่งเมริเตอร์เรเนียนราว 6 กิโลเมตร นักโบราณคดีเชื่อว่าเมืองใต้น้ำแห่ง มีอายุกว่าพันปี โดยสันนิษฐานว่าเมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในยุคกรีกโบราณ และเมืองทั้งเมืองได้จมลงสู่ก้นมหาสมุทรเนื่องจากการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งรุนแรง และอาจจะเป็นไปได้ว่าเกิดจากการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
ภาพเหตุการณ์เกี่ยวกับเมืองใต้บาดาลและเหตุการณ์น้ำท่วมโลกเป็นที่สนใจของคนทุกยุคทุกสมัยจนบางครั้งเราเผลอเริ่มคล้อยตามและคิดเลยเถิดไปถึงผืนน้ำกว้างใหญ่ที่แผ่คลุมไปทั่วทุกพื้นที่ของโลก ผืนน้ำกว้างใหญ่ที่แผ่ไปอย่างไพศาลมองไม่เห็นฝั่งดูอ้าวว้างแต่แฝงความน่าสะพรึงกลัวอยู่ในทีเหตุการณ์เหล่านี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นจริงมากน้อยเพียงใด?
ตำนานเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกมีการกล่าวถึงอยู่มากมาย ซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อของคนแต่ละภูมิภาค เรื่องราวที่ถึงนำมากล่าวอ้างถึงอยู่อย่างสม่ำเสมอก็คงจะหนีไม่พ้นตำนานน้ำท่วมโลกและเรือของโนอาร์ เรื่องราวของตำนานน้ำท่วมโลกและเรือโนอาร์มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลอันเป็นคำสอนของศาสนาคริสต์ โดยมีความปรากฏว่า
ในยุคที่พระผู้เป็นเจ้าเห็นว่ามนุษย์ไม่เชื่อฟังไม่ยึดมั่นในคำสอนของพระองค์ จึงต้องการจะบันดาลให้เกิดน้ำท่วมโลก แต่ไม่ต้องการทำลายมนุษย์และสรรพสัตว์ให้สูญสิ้นไปเสียทั้งหมด เมื่อทรงไตร่ตรองดีแล้วเห็นว่าโนอาร์เป็นผู้มีคุณธรรม จึงมีรับสั่งให้โนอาร์ต่อเรือขนาดใหญ่ขึ้นด้วยไม้สนโกเฟอร์ มีขนาด ความยาว 300 ศอก ความกว้าง 50 ศอก ความสูง 30 ศอก ซึ่งสูง 3 ชั้น พร้อมดาดฟ้าเรือ และมีหลังคาสูง 1 ศอก แล้วใช้ยาชันทั้งภายในและภายนอก เมื่อแล้วเสร็จก้ทรงดำรัสกับโนอาร์รับสั่งให้โนอาร์พาครอบครัวอันประกอบด้วยภรรยาและบุตรทั้ง 3 ของรวมทั้งอาหารสำหรับครอบครัวอพยพขึ้นเรือเพราะจะดลบันดาลให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่และยังรับสั่งให้โนอาร์นำสัตว์ ชนิดต่างๆอย่างละ1คู่ทั้งเพศผู้เพศเมียนำขึ้นเรือไปด้วย เพื่อรักษาเผ่าพันธ์ของสรรพสัตว์ต่างๆเอาไว้ โนอาร์ได้ฟังดังนั้นก็ปฎิบัติตาม เมื่อทุกยอ่างพร้อมตามประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าแล้วผู้เป็นใหญ่ก็ทรงดลบันดาลให้เกิดฝนตกหนัก ติดต่อกันเป็นเวลาถึง 40 วัน จนโลกเต็มไปด้วยน้ำ ท่วมแผ่นดินกินเวลายาวนานถึง 150 วัน ทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นที่ไม่ได้อยู่บนเรือของโนอาร์พากันล้มตายจนหมด หลังจากนั้นก็ใช้เวลาอีก 150 วัน น้ำจึงแห้งพอที่สิ่งมีชีวิตจะสามารถดำรงชีพต่อไปได้ นักศาสนาสตร์เชื่อว่าบุตรของโนอาร์ทั้งสามเป็นตัวแทนของมนุษย์คือ คอเคซอย (ผิวขาว) มองโกลอย(เอเชีย) และนิกรอย(ผิวดำ)
เรือของโนอาร์
เรื่องราวของตำนานน้ำท่วมโลกจะเคยเกิดขึ้นจริงหรือไม่ยังคงเป็นคำถามปริศนาที่เร้าความสนใจได้ดีพอสมควร บางคนก็เชื่อว่าครั้งหนึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้อุบัติขึ้นแล้วในโลกของเราบ้างคนก็ไม่เชื่อ แต่อย่างไรก็ดีไม่มีมนุษย์คนใดอยากให้เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นอีกในยุคสมัยของเรา
อุทกภัยหรือภัยจากน้ำท่วมเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือการเกิดฝนตกหนักติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจนทำให้เกิดการระบายไม่ทันและเกิดเป็นน้ำท่วมขังขึ้น หรืออาจเกิดจากการเกิดน้ำป่าไหลหลาก จากต้นน้ำหรือป่า และเมื่อไม่มีต้นไม่ค่อยดูดซับตามธรรมชาติก็จะทำให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างฉับพลันขึ้นได้หรือ ภาวะคลื่นพายุซัดฝั่งก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดน้ำท่วมอย่างฉับพลัน แต่ภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นโดยการเปลี่ยนแปลง สภาพทางภูมิศาสตร์จนทำให้พื้นดินกลายเป็นแอ่งเป็นบึงที่มีน้ำท่วมขังตลอดทั้งปีนั้นอาจจะต้องอาศัยระยะเวลานานในการเปลี่ยนแปลงสภาพทางภูมิศาสตร์จนเกิดให้เกิดสภาพดังกล่าวอาจจะมีได้หลายสาเหตุ ในประเทศไทยเราในบริเวณเขตบางขุนเทียนต้องประสบกับปัญหาคลื่นกัดเซาะชายฝั่งทำให้บริเวณชายฝั่งแถบนั้นมีเนื้อที่หายไปแล้วกว่า 3,000 ไร่ ซึ่งกินพื้นที่ทั้งกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าห่วงอย่างมากแต่ภัยอย่างหนึ่งที่ เรากำลังประสบอยู่ในปัจจุบันและมีอำนาจรุนแรงพอที่จะทำให้เหตุการณ์น้ำท่วมโลกในตำนานสามารถอุบัติขึ้นได้อย่างจริงๆ ก็คือปัญหาจากสภาวะโลกร้อนนั้นเอง ที่อาจจะทำให้ปริมาณน้ำทะเลเพิ่มระดับสูงขึ้นและในที่สุดพื้นที่ลุ่มก็จะถูกปกคลุมไปด้วยน้ำตลอดกาล และหากถึงเวลานั้นก็เป็นคำถามที่ท้าทายมนุษย์เราว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างไรในโลกใบนี้ที่พื้นที่อยู่อาศัยได้หายไปกว่าครึ่ง
เรื่องราวเกี่ยวกับตำนานน้ำท่วมโลก หลายคนเชื่อว่าครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นในขณะที่อีกหลายคนไม่เชื่อแต่ก็สามารถเร้าความสนใจให้เราได้เป็นอย่างมากและไม่ว่าเรื่องราวต่างๆจะเคยเกิดขึ้นหรือไม่ ดูไม่น่าจะใส่ใจไปกว่าการปกปักรักษาโลกใบนี้ให้รอดพ้นการที่จะถูกน้ำท่วมโลกครั้งต่อไปมากกว่า เพราะการดำเนินวิถีชีวิตของเราในปัจจุบันล้วนส่งผลกระทบโดยตรงกับการก่อเกิดของสภาวะโลกร้อนอันเป็นสาเหตุในการที่ทำให้เกิดน้ำท่วมโลกขึ้นได้ในยุคนี้ ดังนั้น แทนทีเราจะหวั่นวิตกตะลึงไปกับเหตุการณ์ตำนานในอดีต เราควรจะดูแลโลกหลังนี้และบ้านหลังนี้อย่างจริงจังเสียที