HR Contribution
ในสภาพการณ์ของสังคมที่ความรู้เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปตลอด และเป็นสิ่งจำเป็นของการเรียนรู้เพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับหน้าที่การงานและชีวิต ในฐานะที่ผู้เขียนทำงานในสายงานบริหารทรัพยากรบุคคล จึงขอฝากเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับการทำงานไว้ให้ได้เรียนรู้กัน ทั้งผู้เขียนและท่านผู้อ่าน ในลักษณะเรียนรู้ร่วมกัน สรรค์สร้าง HR เพื่อความเป็นมืออาชีพนะครับ....
จากบทความก่อนหน้า ผมได้กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมกับสัมภาษณ์แบบอิงสมรรถนะในส่วนของผู้ที่ทำหน้าที่ในการสัมภาษณ์งาน ซึ่งเชื่อว่าน่าจะให้แนวทางที่นำไปใช้ประโยชน์ได้กับการใช้ประเมินและตัดสินใจคัดเลือกบุคลากรเข้าจากร่วมงานที่ตรงตามความต้องการของตำแหน่งงานและไปกันได้อย่างราบรื่นกับทั้งทีมงาน และองค์กร คราวนี้ เป็นมุมมองของผมกับการเตรียมความพร้อมของผู้สมัครงานที่จะเข้าสู่สนามการสัมภาษณ์แบบโหดหิน (พอสมควร) นี้
ผมไม่ขอทบทวนว่า การสัมภาษณ์แบบอิงสมรรถนะคืออะไรนะครับ เพราะได้ว่าไปแล้วในตอนและเรื่องก่อนหน้า หากยังสงสัยใคร่จะรู้ พลิกกลับไปอ่านหรือทบทวนกันสักนิดนะครับ บทความนี้ จะขอนำเสนอเพียงให้เห็นประเด็นว่า ในเมื่อนายจ้างที่จะคัดเลือกทั้งประวัติและสัมภาษณ์คนทำงานเข้าร่วมงานเค้ายังให้ความสนใจและทำการบ้านอย่างหนักกับการสัมภาษณ์คนหางานโดยอิงกับสมรรถนะตามตำแหน่งงาน กระทั่งบางองค์กรถือว่าเป็นกลยุทธ์หนึ่งของการสรรหาด้วยซ้ำไป ก็ย่อมเป็นแนวโน้มสำคัญในโลกของการทำงานที่คนหางานทั้งหลายจะไม่ให้ความสนใจไม่ได้ เพราะมิเช่นนั้นก็คงจะจูนกันไม่ติด แล้วพลอยให้ต้องหางานกันจนเหนื่อย สัมภาษณ์กันจนเมื่อย (สมอง) เลยทีเดียวนะครั
มีคำแนะนำให้ท่านผู้อ่านที่เตรียมตัวสัมภาษณ์งานแบบนี้ ทำความเข้าใจสองเรื่อง จากคำถามที่ผมเคยได้รับผ่านทางกระทู้ที่ผมเขียนบทความนำเสนอทางเวบไซด์ มาติดตามดูกันครับ :
คำถามแรก : จะต้องเตรียมตัวกับการสัมภาษณ์แบบอิงสมรรถนะอย่างไร ?
ผมขอเท้าความให้คนหางานทั้งหลายเริ่มต้นทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ที่องค์กรทั้งหลาย (แต่ไม่ทั้งหมด) เค้าเลือกใช้เทคนิคการสัมภาษณ์แบบอิงสมรรถนะนั้นเป็นเพราะ HR ขององค์กรเค้าเป็นกังวลหลายเรื่อง...
o กังวลว่า การสัมภาษณ์แบบเดิมที่คุ้นเคยกันมา จะไม่ค่อยเหมาะสมกับการสรรหาและคัดเลือกคนทำงานที่ตรงกับที่อยากได้
o กังวลว่า ความประทับใจส่วนตัวที่ผู้สัมภาษณ์มีต่อผู้สมัครงาน จะมีอิทธิพลมากเกินไปกระทั่งทำให้การเลือกคนไม่เป็นไปในทางที่ควรจะเป็น และเมื่อได้คนที่ไม่ตรงกับที่อยากได้ ก็กลายเป็นภาระที่องค์กรจะต้องแบกรับ ทั้งที่ไม่ควรต้องมีเลย
o กังวลว่า ผู้สมัครงานจะ fake ไม่ตรงไปตรงมา ไม่ว่ากันตามประสบการณ์ที่เคยมี แต่จัดเจนเรื่องการ present ตัวเองจนผู้สัมภาษณ์ หลงคารม สุดท้ายก็จะเกิดปัญหาเช่นที่ว่าไปก่อนหน้า เป็นต้น
เมื่อนายจ้างเค้าคิดประมาณนี้ คุณก็จำเป็นต้องเตรียมตัวให้ดีนะครับ เริ่มตั้งแต่การหาข้อมูลองค์กร และตำแหน่งงาน เพื่อให้มั่นใจว่าคุณเข้าใจหน้าที่รับผิดชอบของงาน และสมรรถนะที่จำเป็นต้องใช้ตามตำแหน่งงานนั้นเป็นอย่างดี ผมขอให้แนวทางการค้นหาสมรรถนะที่คุณจะต้องเตรียมตัวดังนี้ครับ
o สมรรถนะหลัก (Core Competency) ดูได้จากข้อมูลของบริษัททางเวบไซด์ ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ก็มักจะมีกันทั้งนั้น หากบริษัทไหนไม่ทำเวบไซด์ไว้ ก็ดูจะตกยุคไปเลยล่ะครับ
o สมรรถนะตามหน้าที่งาน (Functional Competency) บางองค์กรชั้นนำก็บอกสมรรถนะของคนทำงานที่อยากได้ไว้ในประกาศรับสมัครงาน เพื่อให้ผู้สมัครงานที่คิดว่าตนเอง ยังไม่ถึง ไม่ต้องเสียเวลาส่งใบสมัครมาให้เก็บเข้ากรุ แต่อีกหลายองค์กรก็ไม่ได้ระบุไว้ ซึ่งโดยมากแล้วก็ขึ้นอยู่กับความสันทัดจัดเจนของ HR บริษัทนั้น แต่หากไม่มี ก็สามารถดูได้จากหนังสือที่ผู้รู้ทั้งหลายได้เขียนให้คำแนะนำถึงรายการสมรรถนะ ความหมายและองค์ประกอบของสมรรถนะไว้ ซึ่งมีมากมายหลายชื่อเรื่องครับ เนื้อหาในตอนที่สองของหนังสือเล่มนี้ ก็ช่วยท่านได้เช่นกัน
คำถามที่สอง : องค์กรวัดหรือประเมินผลสัมภาษณ์แบบนี้อย่างไร ?
การสัมภาษณ์แบบอิงสมรรถนะ ออกแบบมาเพื่อปราบเซียน (คนทำงานที่ช่ำชองเรื่องการสัมภาษณ์ไม่ว่าจะมีประสบการณ์จากวิธีการใด...) ด้วยการให้ผู้สมัครงานที่ได้รับการคัดเลือกเข้ามาสัมภาษณ์ (candidate) มีโอกาสได้แสดงขีดความสามารถจากการบอกเล่าถึงตัวอย่างสถานการณ์ที่มีประสบการณ์ตรงและเป็นประสบการณ์จริง พร้อมทั้งบอกว่าได้ทำอะไรลงไปกับสถานการณ์นั้น แล้วเกิดผลสำเร็จอย่างไร เกิดปัญหาใดที่ต้องแก้ไขต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งก็นับว่าเป็นธรรมและตรงกับวัตถุประสงค์ของกระบวนการงานสรรหา เนื่องจากแม้ผู้สมัครงานที่มีประสบการณ์สัมภาษณ์งานมาโชกโชน ก็ยังต้องนำเสนอที่ว่านี้เท่าเทียมกันผู้สมัครงานที่ประสบการณ์อาจจะสูงไม่เท่าเทียมกัน
จากข้อคำถามนี้ ผมขอใช้ตัวอย่างตอบคำถามก็แล้วกัน...
สมมติว่าผู้สมัครงานได้รับการประเมินในสมรรถนะ การวางแผนและจัดการ (Planning and Organizing) ซึ่งหมายถึง ความสามารถและทักษะในการจัดลำดับงาน ความยืดหยุ่นในบางโอกาสเนื่องจากเป้าหมายงานปรับเปลี่ยนแปลง คำถามที่อยู่ในข่ายที่จะใช้สัมภาษณ์คุณก็ได้แก่
o อธิบายถึงโครงการที่คุณรับผิดชอบว่าคุณวางแผนงานอย่างไร ?
o หากมีปัญหาหรืออุปสรรคเกิดขึ้น คุณจัดการอย่างไร ?
o ในงานที่ทำปัจจุบัน คุณวางแผนการทำงาน กำหนดลำดับเวลาทำงานและจัดลำดับความสำคัญอย่างไร ?
ปกติแล้ว องค์กรจะกำหนดเกณฑ์การประเมินไว้นะครับว่า สัญญาณหรือตัวชี้วัดแบบใดที่ต้องการจากคำตอบของคุณ ซึ่งอาจจะเป็นมีได้ทั้งด้านบวกและด้านลบ หากคุณตอบในด้านบวกก็ได้คะแนนสัมภาษณ์เรื่องนั้นดี หากตอบในด้านลบ ก็ถือว่าคุณพลาดเสียแล้ว มาดูตัวอย่างกันครับ
คำตอบด้านบวก (ที่ได้คะแนน) |
คำตอบด้านลบ (ที่ถูกหักคะแนน) |
§ กำหนดเป้าหมายงานที่ชัดเจน และสอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กร
§ ลำดับความสำคัญของแต่ละกิจกรรมและงานที่ได้รับมอบหมาย มีการปรับลำดับงานเมื่อจำเป็น
§ คาดการณ์ถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และมีแผนรับมือกับสถานการณ์นั้น
§ จัดสรรเวลาและทรัพยากรที่เพียงพอ เพื่อทำงานให้บรรลุเป้าหมาย
§ ตรวจสอบติดตามผลงาน
§ ใช้เวลาทำงานที่เหมาะสม |
§ ไม่มีการจัดลำดับความสำคัญในการทำงาน
§ ดูเหมือนทำงานไม่เป็นระบบและขาด การจัดการ
§ จัดตารางการทำงานที่นำไปปฏิบัติไม่ได้
§ กรอบเวลาการทำงานเป็นไปไม่ได้
§ ต้องใช้ความพยายามกับผลกระทบหรือผลข้างเคียงมากเนื่องจากไม่ได้คาดการณ์ไว้
§ ทำงานไม่เป็นไปตามเงื่อนเวลา
§ ไม่มีการตรวจสอบกิจกรรมการทำงาน
§ งานไม่เสร็จตามเป้าหมาย |
เชื่อว่า น่าจะช่วยให้ท่านผู้อ่านที่อาจจะกำลังคิดไปสัมภาษณ์งาน และคาดการณ์ว่าอาจจะได้รับการสัมภาษณ์แบบอิงสมรรถนะ ได้แนวสำหรับใช้เตรียมความพร้อมที่ดี ช่วยให้การตอบประเด็นคำถามรัดกุม มีทิศทาง และยืนยันได้ว่าสอดคล้องกับสมรรถนะที่ผู้สัมภาษณ์งานต้องการประเมิน
จากคำตอบด้านบวก และคำตอบด้านลบสำหรับรายการสมรรถนะที่ผมยกตัวอย่างมา เป็นไปได้อย่างมากที่ผู้สัมภาษณ์ จะใช้คำถามต่อไปนี้ถามผู้สมัครงานของคุณ ซึ่งผู้สมัครงานทั้งหลายคงต้องเก็บคะแนนให้มากไว้ ด้วยการตอบแต่ประเด็นทางบวก ที่ตรงกับสถานการณ์จริง (ต้องไม่ fake นะครับ ไม่งั้นคุณอาจจะเสี่ยงมากหากผู้สัมภาษณ์ใช้คำถามแบบที่เรียกว่า probing เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เอาไปเอามาตกม้าตายไม่รู้ด้วยนะ !) มาดูตัวอย่างกันครับ
o อธิบายให้ผมฟังหน่อยสิครับว่า คุณจัดการการทำงานของตัวเองอย่างไร ? ในประเด็นต่อไปนี้
§ เริ่มต้นอย่างไร ?
§ คุณตัดสินใจทำอย่างนั้นบนหลักการหรือพื้นฐานแนวคิดใด ?
§ คุณคิดอย่างไร หากพบว่า สิ่งที่ต้องทำมีมากเหลือเกิน ?
o โปรดยกตัวอย่างสถานการณ์ทำงานที่สำคัญมากแต่คุณต้องทำภายใต้กำหนดเวลาไม่นานนัก และต้องการให้ผลงานออกมาดี ?
§ กำหนดเวลาทำงานนั้นสามารถปรับเปลี่ยนได้หรือไม่ ?
§ คุณทำอย่างไรเพื่อให้มั่นใจว่า งานจะเสร็จตามกำหนดเวลา ?
§ คุณจะจัดการงานนี้แตกต่างไปจากเดิมหรือไม่ หากต้องทำงานนี้อีกครั้ง ?
o ทบทวนงานที่คุณเคยทำสักสถานการณ์ที่คุณจะต้องเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนการประชุมหรือการนำเสนอโครงการเพื่อขออนุมัติกับผู้บริหาร ?
§ คุณทำอะไรไปบ้าง ?
§ ใช้เวลาเตรียมการนานแค่ไหน ?
§ คุณคิดว่าจะเตรียมการได้ดีขึ้นอย่างไร หากได้รับมอบหมายงานนี้อีกครั้ง
โอแม่เจ้า ! เค้าถามคำถามกันยากแบบนี้เลยเหรอ ?
ใช่ครับ หากต้องการประสิทธิผลของการสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกคนให้ตรงกับสมรรถนะที่กำหนด ก็ต้องแบบนี้เลยล่ะ แต่หนึ่งสมรรถนะที่ต้องการประเมิน อาจจะเลือกใช้เพียงสองสามข้อคำถามก็ได้ครับ และที่สำคัญกรอบคำถามที่ผมนำเสนอตามตัวอย่างนี้ จะทำให้การถามมีโครงสร้าง (structured) ไม่หลุดไปจากประเด็นที่อยากรู้ ไม่เสียเวลากรรมการผู้ที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์และสามารถจดบันทึกข้อมูลคำตอบจากการสัมภาษณ์ผู้สมัครงานได้ง่ายด้วยครับ
การสัมภาษณ์บนพื้นฐานที่เสมอภาคกัน ไม่ประเมินแล้วเลือกเพราะมีอคติ แต่ให้ความเป็นธรรมที่อิงกับประสบการณ์และผลงานตามเทคนิคการสัมภาษณ์แบบนี้ น่าสนับสนุนให้นำมาใช้กันอย่างแพร่หลายครับ
ชัชวาล อรวงศ์ศุภทัต
Professional Human Resources-PHR
ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล
บจก.กรุงไทยธุรกิจบริการ
E-Mail : [email protected]
Blog : http://chatchawal-ora.blogspot.com/
|