ค้นบ่อย
:
หางานบัญชี,
หางานธุรการ,
หางานจัดซื้อ,
หางานผู้จัดการ,
หางานขับรถ,
หางานบุคคล,
หางานคลังสินค้า,
หางานครู,
หางานวิศวกร,
หางานเขียนแบบ,
หางานคีย์ข้อมูล,
หางานการตลาด,
หางานโรงแรม,
หางานสิ่งแวดล้อม,
หางานคอมพิวเตอร์,
หางาน Programmer,
หางานประชาสัมพันธ์,
หางานช่าง,
หางานสถาปนิก |
เรื่อง
เขาชื่อปัญทัตน์
เขียนโดย อัญธิกา ปุนริบูรณ์
|
Rated:
by 58 users |
|
|
|
|
เรื่องราวของฉันเกิดขึ้นมาเมื่อ 2 ปีก่อน เรื่องราวความทรงจำของผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันคิดว่า ในชีวิตนี้ฉันคงตอบแทนสิ่งดีๆ จากชายคนนั้นไม่หมด
.. 2 ปีที่แล้วหลังจากฉันจบการศึกษาปริญญาตรีทางด้านการตลาด ฉันก็ได้งานทำที่บริษัททางด้าน IT ชั้นนำแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งพนักงานฝ่ายขาย และที่แห่งนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งต่างๆ ที่ฉันปรารถนาให้เวลานั้นย้อนกลับมาอีกหากทำได้
หลังจากที่ฉันทำงานได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ผู้จัดการฝ่ายขายได้ให้ฉันเดินทางไปพบลูกค้ารายหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปนี่เป็นงานแรกที่ฉันต้องฉายเดี่ยวเพียงลำพัง แต่จะว่าไปก็ไม่เดี่ยวนักหรอกเพราะว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ เพื่อที่จะอธิบายรายละเอียดทางด้านเทคนิคให้ลูกค้าฟังอีก 1 คน ที่ทำงานของฉันอยู่ชั้น 6 ของบริษัท แต่ฝ่ายผลิตภัณฑ์อยู่ชั้น 2 ด้วยความตื่นเต้นกับงานแรกฉันโทรไปหาเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์คนนั้น ตามเบอร์ภายในที่อยู่ในเอกสารรายละเอียดงานที่ฉันได้รับมา "สวัสดีครับ ผมปัญทัตน์รับสายครับ" นั่นเป็นเสียงของเจ้าของสายปลายทางที่พูดกลับมา "สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อยุวดีจากฝ่ายขายคะ ดิฉันโทรมาเพื่อสอบถามคุณว่า คุณได้รับเอกสารเรื่อง Present งานลูกค้าในวันศุกร์นี้หรือยังค่ะ" "อ๋อ..ครับได้รับแล้วคุณยุวดีต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ" "เปล่าค่ะ เอ่อ
พอดีนี้เป็นงานแรกของดิฉัน ก็เลยจะโทรมานัดแนะเรื่องเวลาและความพร้อมอื่นๆ นะค่ะ" หลังจากนั้นฉันก็คุยรายละเอียดและนัดแนะเรื่องเวลากับเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันก็เตรียมตัวอย่างหนักด้วยความตื่นเต้น กึ่งๆ กลัวปะปนกัน
แล้ววันนั้นก็มาถึงฉันถือแฟ้มรายละเอียดต่างๆ ที่เตรียมไว้ แล้วเดินมาลงลิฟต์ ไปลานจดรถชั้น B พอออกจากลิฟต์ฉันกดโทรศัพท์เพื่อโทรหาเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ แล้วสิ่งที่ฉันไม่อยากได้ก็เข้ามาในโสตรับรู้ของฉันว่า รถตู้บริษัทที่ฉันทำเรื่องใช้ไว้นั้นเกิดอุบัติเหตุเมื่อเช้านี้ ฉันรู้สึกว่าฤกษ์วันนี้ชักไม่เข้าท่าเสียแล้ว ฉันตอบเขาไปว่าถ้างั้นเดี๋ยวขับรถส่วนตัวดิฉันไป เขาตอบตกลงและจะตามไปที่รถของฉัน ฉันนั่งสตาร์ทเครื่องรถทิ้งไว้รอเขา และแล้วเขาก็มายืนอยู่ข้างรถ "คุณยุวดี ใช่ไหมครับ" นี่คือครั้งแรกที่ฉันพบเขา ผู้ชายที่จะไปทำงานกับฉันวันนี้ ฉันรู้สึกว่าวันนี้ฤกษ์คงจะไม่ดีจริงๆ เสียแล้ว เพราะผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างรถของฉันตอนนี้ ในสายตาฉันบอกได้เลยว่า นายนี่จะพูดภาษาคนได้รู้เรื่องหรือเปล่า หน้าตาออกจะต๊องๆ ไม่มีแววฉลาด (ไม่น่าตอบคำถามอะไรจากลูกค้าได้เลย) บุคลิกก็ดูไม่สง่า ยิ่งการแต่งตัวด้วยแล้ว ฉันไม่รู้ว่านายนี่หลงยุดหรือเปล่า ฉันได้แต่คิดว่านี่ผู้จัดการของฉันแกล้งฉันหรือเปล่าที่ต้องให้ฉันมาทำงานกับนายสกั๊งนี่ ตอนนี้เขาเปิดประตูเขามานั่งในรถของฉันแล้ว ฉันจึงถามเขาไปว่า "คุณจะขับเองไหมคะ" เขายิ้มและพูดว่า "ผมขับรถไม่เป็นครับ" นายนี่นอกจากจะเห่ยแล้วยังไม่ได้เรื่องอีก ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย ฉันขับรถออกมาเพื่อมุ่งหน้าไปยังบริษัทลูกค้า ตลอดเวลาฉันรู้สึกได้อีกอย่างว่าอีตานี่คงจะเป็นคนใบ้ เพราะถ้าฉันไม่ถามเขาก็ไม่ตอบ ไม่ชวนคุย เอาแต่นั่งมองถนนข้างๆ ทาง ฉันชักไม่แน่ใจแล้วซิว่ามากับคนปรกติ
พอมาถึงบริษัทลูกค้าเขาเป็นคนเดินนำหน้าฉันไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์บริษัท เพื่อขอเข้าพบและอีกหลายๆ อย่างด้วยความคล่องแคล่ว ฉันเสียอีกที่เงอะๆ เงิ่นๆ เหมือนกับว่าเขาเป็นคนละคนกับนายบื้อเมื่อกี้ เราเริ่มงานวันนี้ได้ด้วยดี แล้วระหว่างนั้นเวลาที่ลูกค้ามีปัญหาข้อซักถาม นายบื้อนั่นสามารถตอบได้รวดเร็ว ปราดเปรื่องขัดแย้งกับหน้าตาต๊องๆ ของเขา อย่างที่ฉันเองก็เผลอนึกชื่นชมอยู่ในใจ เราผ่านงานนั้นมาด้วยดี ขากลับฉันชวนเขาทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง แล้วนายบื้อนี่ก็ตอบอย่างหน้าตาเฉยว่ากินไม่เป็น เชยอย่างที่ฉันเองก็ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อน ท้ายสุดฉันต้องมานั่งกินข้าวแกงริมทางกับตาบื้อนี่ ฉันได้แต่นึกในใจว่าผู้ชายอะไรไม่มีรสนิยม แถมไร้ยางอายอีกตะหาก ฉันกลับบริษัทไปพร้อมข่าวดี หลังจากวันนั้นฉันก็ได้ออกไปทำงานติดต่อลูกค้าบ่อยขึ้น หน้าที่การงานของฉันรวมทั้งค่าคอมมิชชั่นดีขึ้น แต่ที่ไม่ดีก็คือต้องไปกับผู้ชายซื่อบื้อนั่นเป็นประจำ
หลังจากที่ฉันทำงานที่บริษัทมาเป็นเวลาเกือบปี ฉันได้รู้จักพนักงานหลายฝ่าย มีเพื่อนมากขึ้น ฉันก็พบผู้ชายในฝันของฉัน เขาอยู่ฝ่ายวิศวกรรม แถมอยู่ในตำแหน่งวิศวกรด้วย หน้าตาดี สมาร์ท ดูดีมีรสนิยมในทุกๆ เรื่อง และที่สำคัญฉันคิดว่าเขาก็ชอบฉัน เขาชื่ออนันต์ เรารู้จักและสนิทสนมกันเร็วมากจนเรียกได้ว่าเป็นแฟนกัน อนันต์มักนัดฉันไปทานข้าว ฟังเพลงบ่อย คำพูดของเขาเป็นคำที่ฉันรู้สึกว่ามันไพเราะน่าฟัง ทุกๆ เช้าจะมีดอกกุหลาบสีขาวมาวางบนโต๊ะทำงานฉันทุกวัน และฉันก็มั่นใจแน่นอนว่าเจ้าของดอกกุหลาบนี้ชื่ออนันต์แน่นอน ฉันมีความสุขและคิดว่าคงรักเขาคนนี้
จนวันหนึ่งฉันออกไปพบลูกค้ารายหนึ่งพร้อมนายบื้อ ระหว่างที่ฉันขับรถอยู่นั้น นายบื้ออยู่ๆ ก็เป็นฝ่ายถามฉันขึ้นมาว่า "คุณยุวดีสนิทสนมกับคุณอนันต์ดีจัง รู้จักกันก่อนหน้ามาทำงานที่นี่หรือครับ" ฉันตอบนายบื้อไปว่า "เปล่า
เราพึ่งรู้จักนันต์ที่นี่แหละ" นายบื้อยิ้มแล้วก็เงียบไปไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยจนเสร็จงาน
เดือนธันวาคมใกล้วันเกิดของฉัน ฉันมีโปรแกรมจะไปฉลองวันเกิดกับเพื่อนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมีอนันต์ไปด้วย เช้าวันเกิดฉันระหว่างที่ฉันดื่มกาแฟอยู่ที่บ้าน โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น แต่เป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นฉันรับสาย เสียงที่ได้ยินในสายนั้นเป็นเสียงดนตรีจากหีบเพลงเป็นเพลงอวยพรวันเกิด พบจบสายก็ตัดไปฉันโทรกลับไปที่เบอร์นั้นปรากฏว่าเป็นเบอร์สาธารณะ พอฉันมาถึงที่บริษัทบนโต๊ะทำงานฉันมีดอกกุหลาบสีขาววางไว้เช่นทุกวัน แต่วันนี้มีหีบเพลงรูปเด็กผู้หญิงน่ารักวางไว้ด้วย ฉันไขลานหีบเพลงนั้น เพลงที่เปล่งออกมาเป็นเพลงและเสียงเดียวกันกับที่ฉันรับโทรศัพท์ ฉันยิ้มออกมาและอดคิดถึงความน่ารักของอนันต์ไม่ได้ ว่าเขาช่างโรแมนติกอะไรเช่นนี้ ตอนเย็นเราเป็นไปเที่ยวกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง อย่างสุกสนาน พอเลิกงานขณะที่กำลังจะแยกย้ายกันกลับ อนันต์เดินเข้ามาหาฉันพร้อมกล่องของขวัญในมือ เขาก็อวยพรวันเกิดให้ฉันพร้อมกับยื่นกล่องของขวัญนั้นให้ ฉันมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ก็เลยถามอนันต์เรื่องหีบเพลงเมื่อเช้า แต่เขากลับปฏิเสธว่าเขาไม่รู้เรื่อง ฉันกลับมาบ้านพร้อมความสงสัย ฉันนั่งพินิจพิเคราะห์เจ้าหีบเพลงอันนั้น แต่ฉันก็คิดไม่ออกว่าเป็นของใครจริงๆ แล้วในบริษัทมีคนมาจีบฉันหลายคนก็จริงอยู่ แต่ตั้งแต่ฉันคบกับอนันต์ หนุ่มๆ พวกนั้นก็ล่าถอยกันไปหมด
จนปีใหม่ฉันได้รับการ์ดอวยพรในลักษณะมาวางไว้คู่กับดอกกุหลาบสีขาวเช่นเดิม มีข้อความที่ทำให้ฉันสงสัยมากขึ้นอีก ในการ์ดนั้นมีข้อความว่า "คุณอย่ารู้เลยว่าผมเป็นใคร รู้เพียงว่าผมไม่มีเจตนาร้ายต่อคุณ ขอให้คุณมีความสุขมากๆ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีความสุขกับคนที่คุณรัก ปรารถนาดี สายลม" ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะต้องหาตัวเจ้าของกุหลาบสีขาวและการ์ดนี้ให้ได้ วันรุ่งขึ้นฉันมาทำงานเช้ากว่าทุกวันและแอบไปนั่งที่โต๊ะทำงานเพื่อน โดยหลบอยู่หลังพาร์ติชั่นโต๊ะทำงานของเพื่อน และสิ่งที่ฉันเห็นก็คือผู้ชายคนนั้น นายบื้อนั่นเองเขาเดินมามองซ้ายมองขวาพร้อมล้วงเอาดอกกุหลาบสีขาว ออกจากกระเป๋าเอกสารของเขามาวางไว้บนโต๊ะทำงานของฉัน ฉันโกรธมากฉันลุกขึ้นและเรียกชื่อเขา เขาตกใจแต่กลับไม่วิ่งหนีไปยืนรอจนฉันเดินเข้าไปใกล้ ฉันถามเขาว่าทำอย่างนี้ทำไมด้วยน้ำเสียงโกรธอย่างเต็มที่ เขาก้มหน้าลงและพูดกับฉันว่า "ผมขอโทษนะ ถ้าสิ่งที่ผมทำมันทำให้คุณรำคาญ ผม
ผมแค่อยากทำอะไรให้คุณรู้สึกดีแค่นั้นเอง ผมรู้ตัวเองดีว่าไม่คู่ควรหรือเหมาะสมกับคุณ แต่นี่มันเป็นเรื่องของจิตใจ ผมรักคุณ แต่ผมก็ไม่ต้องการหรือเรียกร้องให้คุณมารักผม หัวใจคุณเป็นของคุณผมบังคับไม่ได้ เช่นกันนี่ก็หัวใจผมคุณจะห้ามไม่ให้ผมรักคุณผมก็ทำไม่ได้ ผมไม่มีอะไรต่ออะไรมามอบให้คุณได้อย่างคนอื่น ผมจะมีก็แค่ความหวังดีให้ ถ้าคุณคิดว่ามันผิด ผมก็ขอโทษและจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้อีก" เขาพูดจบเขาก็เก็บดอกกุหลาบนั่นไว้ในกระเป๋าแล้วเดินออกไป
หลังจากวันนั้นก็ไม่มีดอกกุหลาบสีขาวบนโต๊ะฉันอีก ฉันขอให้ผู้จัดการฉันเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์คนใหม่ ฉันจึงไม่เจอหน้านายบื้อนั่นอีก จะมีก็บางครั้งที่เจอแต่เขาก็จะเป็นฝ่ายหลบหน้าฉันตลอด จนวันหนึ่งฉันตั้งใจลางานช่วงบ่ายครึ่งวันเพื่อไปดูหนังกับอนันต์ พอพักเที่ยงฉันก็ออกไปทานข้าวเที่ยงกับอนันต์ แล้วก็ไปดูหนังกันต่อ ก่อนเข้าโรงหนังฉันปิดโทรศัพท์มือถือ หนังสนุกมากหรือเพราะฉันมากับอนันต์ก็ไม่รู้ทุกอย่างก็เลยดูดีไปหมด พอหนังจบอนันต์ก็มาส่งฉันที่บ้าน อนันต์กลับไปแล้วฉันก็เดินเข้ามาในบ้าน บ้านของฉันเงียบจัง แม่และน้องชายไม่อยู่ ฉันจึงโทรไปหาน้องชาย น้ำตาของฉันก็ไหลออกมา แม่ของฉันล้มป่วยด้วยโรคหัวใจ ซึ่งเรื้อรังมานานมาก หมอเคยบอกให้ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ แต่ทางโรงพยาบาลก็ยังหาหัวใจจากผู้บริจาคไม่ได้ และที่มีก็เปลี่ยนกันไม่ได้ จนถึงวันนี้ ฉันงงไปหมด รู้ตัวอีกทีฉันก็มาถึงที่โรงพยาบาล น้องชายฉันวิ่งมากอดฉันไว้ และบอกกับฉันว่าเมื่อซักครู่มีอุบัติเหตุมีคนเสียชีวิตด้วย และคนที่เสียชีวิตนั้นก็ยื่นความประสงค์ที่จะบริจาคอวัยวะไว้กับโรงพยาบาลด้วย หมอกำลัง เช็คกันว่าจะเปลี่ยนให้แม่ได้หรือเปล่า ฉันนั่งรอผลอยู่หน้าห้องผ่าตัดกับน้องชายด้วยความหวัง แต่กระนั้นฉันกับน้องก็ยังร้องไห้อยู่ด้วยความเป็นห่วงแม่ หมอเดินออกมาและบอกกับเราว่าหัวใจจากผู้ตายสามารถเข้ากับแม่ได้ ฉันดีใจมาก ยิ้มทั้งน้ำตา แม่ฉันกำลังจะหาย แม่ฉันกำลังจะหาย หัวใจฉันบอกฉันย้ำๆ อยู่อย่างนั้น การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี แม่เข้าพักที่ห้องผู้ป่วยในแล้วฉันกับน้องเข้าไปดูอาการแม่ แล้วก็กลับบ้านเพื่อที่ฉันจะได้ไปเตรียมของมานอนเฝ้าแม่และให้น้องชายอยู่บ้าน ระหว่างขับรถกลับบ้านฉันจึงถามน้องชายว่าพาแม่มาโรงพยาบาลอย่างไร น้องฉันตอบว่าโทรหาฉันตอนที่แม่ป่วยแต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ เลยโทรไปที่บริษัทหลายครั้ง เพื่อนของฉันรับและมารับแม่ฉันไปโรงพยาบาล ฉันเลยถามว่าเพื่อนคนนั้นชื่ออะไร ทำไมไม่เห็นโทรบอกฉันเลย น้องชายฉันบอกว่า เพื่อฉันเป็นผู้ชายชื่อ ปัญทัตน์ ฉันแปลกใจมากว่านายบื้อนั่นรับโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานฉันได้อย่างไร และที่สำคัญเขาขับรถมารับ แม่กับน้องฉันได้อย่างไร แต่อย่างไรเสียพรุ่งนี้ฉันตั้งใจจะไปขอบคุณเขา และคงต้องขอโทษเขากับเรื่องที่ผ่านๆ มา
เช้าวันรุ่งขึ้นฉันไปทำงาน บนโต๊ะทำงานมีกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งเขียนไว้ว่า "ขอโทษที่รับโทรศัพท์คุณโดยไม่ขออนุญาต พอดีผมผ่านมาเห็นว่าดังหลายครั้ง แม่คุณป่วยอยู่โรงพยาบาล
ครับ" ช่วงสายฉันเดินไปที่แผนกเขาแต่ไม่พบ ฉันจึงถามเพื่อนร่วมงานเขาคนหนึ่ง คำตอบที่ได้ฉันนั้นทำให้น้ำตาฉันคลอหน่วย อย่างที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจ เขา
เขาเสียชีวิตใกล้ๆ กับโรงพยาบาลที่แม่ฉันรักษาตัวอยู่ เขาหัดขับรถได้ไม่นาน นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้จากเพื่อนของเขา ฉันถามเพื่อนเขาว่าศพเขาตั้งอยู่ที่วัดไหน เพื่อนเขาบอกว่า ศพของเขาอยู่ที่โรงพยาบาล เขาบริจาคร่างกายให้ไว้กับโรงพยาบาลตั้งแต่ก่อนตาย อนุสติฉันดึงเรื่องราวมาปะติดปะต่อกัน ฉันรีบขับรถไปโรงพยาบาล สอบถามเรื่องอุบัติเหตุเมื่อวาน ใช่เขาจริงๆ ฉันจึงไปถามหมอที่รักษาแม่ฉันว่าหัวใจที่เปลี่ยนให้แม่เป็นของใคร หมอตอบว่าไม่สามารถบอกได้ แต่ฉันคิดว่ามันคงไม่ผิดจากที่ฉันคิดไว้ หัวใจที่เปลี่ยนให้แม่ฉันเป็นของเขาคนนั้นอย่างแน่นอน ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงของแม่มองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ภาพของเขาเสียงของเขาก้องอยู่ในจิตใจฉัน น้ำตามันไหลออกมา ออกมาอย่างที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อน ไม่มีเขาคนนั้นอีกแล้ว ฉันเองคงไม่มีสิทธิแม้แต่คำว่าขอโทษ หรือขอบคุณ
หลายวันต่อมามีเจ้าหน้าที่บริษัทประกันมาติดต่อฉัน เรื่องสิทธิในการขอรับเบี้ยประกันจากผู้ชายที่ชื่อ ปัญทัตน์ เขาเลือกที่จะให้ฉันเป็นผู้รับเบี้ยประกันของเขา หลังจากที่ฉันติดต่อจัดการกับเงินประกันของเขา ฉันก็นำเงินจำนวนนั้นไปบริจาคให้กับมูลนิธิต่างๆ เท่าที่ฉันรู้จักในนามของเขา บางส่วนฉันก็เอาไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา หลังจากวันนั้นมาฉันก็พยายามที่จะสืบค้นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวของเขา ข้อมูลที่ฉันได้มาเป็นสิ่งที่ฉันเองต้องยอมรับว่า คนคนนี้เป็นที่สุดของสุภาพบุรุษ ที่สุดของนักสู้ชีวิต พ่อกับแม่ของเขาแยกทางกัน เขาเองอยู่กับยาย เรียนเก่งได้ทุนเรื่อยมา หลังจากยายเสียเขาก็ไม่มีพี่น้องหรือญาติที่ไหน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีกับทุกๆ คน ทุกคนเสียใจกับการจากไปของเขา ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ให้ที่คงไม่มีวันได้รับคืนเลย ฉันได้บันทึกของเขาจากเพื่อนสนิทของเขาคนหนึ่ง มีข้อความหนึ่งในบันทึกนั้น เขาเขียนถึงวันที่ฉันจับได้ว่าเขาเป็นคนส่งดอกกุหลาบให้ฉัน เนื้อความในหน้านั้นเขียนไว้อย่างปวดร้าว และทุกๆ หน้าจะมีเรื่องราวของฉัน และก็เกือบจะทุกๆ หน้าที่เขามักจะย้ำตัวเองเสมอว่า "ผมรักคุณนะ แต่ผมไม่คู่ควรคุณหรอก ชีวิตผมมันไม่เคยสมบูรณ์ หากชีวิตที่ไม่เติมเต็มของผม มันพอที่จะเติมเต็มให้คุณได้ผมยินดีเสมอ" ฉันอดที่จะร้องไห้ไม่ได้ทุกครั้งที่อ่านบันทึกของเขา แต่ฉันก็อ่านมันทุกๆ วันและตลอดไป
วันนี้แม่ของฉันหายเป็นปรกติแล้ว แม่มักพูดถึงเจ้าของหัวใจที่บริจาคให้ว่าใครหนอ ฉันอยากตอบแม่จังเลยว่าเขาเป็นใคร แต่ฉันไม่อยากให้แม่รับรู้เรื่องราวเหล่านั้น ฉันได้แต่กอดแม่ทุกครั้งที่แม่พูดถึง เพราะอย่างน้อยฉันก็กอดหัวใจอีกดวงหนึ่งไว้ด้วย กอดเพื่อให้คำว่าฉันขอโทษ ฉันรักเธอ ซึมผ่านไปหาเจ้าของหัวใจ ที่อยู่ข้ามไป ณ.ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งไม่มีวันกลับมา
|
|
|
|
ความคิดเห็นของคุณกับบทความนี้
...
|
|
|
Knowledge Center |
|
|
knowledge
|
|
|
|
|
|
|
|
|