ยังจดจำบทเพลงประกอบละคร ที่มีท่อนหนึ่งว่า ชนะสิ่งใดไหนกัน จึงจะเป็นแชมป์ดังตั้งใจ ชนะจิตใจของตน นี่สิยอดคน ผมว่ามันเป็นสัจธรรมดีนะ คุณเห็นด้วยไหม?
ไม่ว่าคุณจะทำหน้าที่หรือมีอาชีพอะไร จะสูงล้ำหรือต่ำต้อยเพียงใด หากคุณตกอยู่ในหลุมดำแห่งความรู้สึกว่า ตัวเองช่างด้อยค่า งานที่ทำช่างกระจอกหรือไร้ศักดิ์ศรี มีแต่คนเอาเปรียบตนเอง ทุกคนในโลกช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน นี่เท่ากับคุณแพ้คนอื่นตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ด้วยเหตุที่ว่าการมองโลกในมุมที่ถมทับตนเอง ในมุมไม่สดใส ก็จะเป็นเสมือนสีของกรอบแว่นตากันแดดที่สวมใส่อยู่ ทำให้มองไม่เห็นอะไรตามสภาพที่เป็นจริง
เวลาคนเราจะต้องเลือกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในระหว่างสองทางเลือก มักจะมีสำนึกดีในตัวเราที่คอยพยายามชักจูงหรือปลุกสติเราให้กลับคืนมามองความเป็นจริงและสิ่งที่ควรทำ แม้จะมีอำนาจฝ่ายไม่ดีมาคอยหลอกล่อยั่วยวนเราบ้างก็ตาม นี่คือสถานการณ์แห่งการต่อสู้ในใจเราทุกคน นี่คือสมรภูมิที่เราผ่านการรบมาไม่รู้กี่ครั้ง ไม่ว่าจะพ่ายแพ้มากี่หนหรือนับครั้งจำนวนชนะได้
การแข่งขันหรือเอาชนะกับผู้อื่น ต่อสู้กับคนภายนอกนั้น ไม่มีความยั่งยืน ไม่มีทางเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะที่นิรันดร์ มีแต่การเอาชนะใจตนเองเท่านั้นที่จะทำให้ใครก็ตามอยู่เหนือสถานการณ์การต่อสู้ทั้งหมดได้ หมายความว่า ถึงจะมีความอยากหรือตัณหามาจูงมือนำทางเราไป โดยชี้แจงให้มองเห็นว่าเราจะมีความสุข จะพบกับสิ่งที่น่าพึงปรารถนามากมายรอเราอยู่ หากปฏิบัติตามมัน
แต่เราก็ยังก้าวเดินสวนทางกับความต้องการของเราได้ กล้าเจ็บปวดรวดร้าวภายใน กล้าฝ่าฟันกับอุปสรรคความเพลิดเพลิน กล้าคัดค้านสิ่งมัวเมาที่เกิดเป็นภาพหลอนละเมอในห้วงจิต จนประสบผลสำเร็จ คือชัยชนะ นับเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เราได้ทำคุณงามความดีให้เกิดขึ้น เพราะอย่างน้อยความไม่ดีก็ไม่บังเกิด และสิ่งดีงามก็ได้เบ่งบานอยู่ภายใน
มันเป็นสมรภูมิที่ทุกคนอาจไม่ตระหนักถึงความสำคัญในชีวิต เพราะการเอาชนะความเกลียด ความหมั่นไส้ ความอิจฉา ความหลง ความริษยา ความเกียจคร้าน หรือความโลภในใจของตน ต้องเกิดจากการมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในด้วย บางคนนึกว่าคนภายนอกเป็นต้นเหตุทำให้เกิด นั่นเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ถ้ามองให้ดีๆ แล้วทุกสิ่งอยู่ที่ใจตัวเรา
หากเรามองย้อนทบทวนถึงความพ่ายแพ้ไม่รู้กี่ครั้งว่า จะตั้งใจทำงานให้ดี จะตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบแต่เนิ่นๆ จะประหยัดอดออม ไม่ฟุ่มเฟือย จะขยันทำงานขยันเรียน เราอาจพูดหรือตั้งความหวังกี่ครั้งก็ได้ร่ำไป แต่รสชาติของความภาคภูมิใจ รสชาติของความเป็นผู้คว้าชัยชนะคล้ายกับความรู้สึกในตอนที่น้องอุดมพร ยกตุ้มเหล็กได้ หลังจากตะโกนร้อง สู้โว้ย มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายด้วยถ้อยคำได้ถึงสภาวะในช่วงนั้น ถ้าไม่ลองสู้แข่งขันกับตนเองดู
สมรภูมิการแข่งขันมีขอบเขตเรื่องราวที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกด้านไม่ดีที่เกิดขึ้นภายในอันเป็นผลกระทบจากการกระทำของผู้คนทั้งที่ถูกใจและไม่ตรงใจเรา ซึ่งเรามักจะตัดสินคนภายนอกอยู่บ่อยครั้งโดยที่ไม่มีข้อมูลความเป็นจริงเกี่ยวกับคนผู้นั้นอย่างดีพอเลยในการวิจารณ์ ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราเองนั่นแหละที่เรารู้ดีที่สุด เหตุใดจึงไม่ประเมินหรือวิจารณ์ตนเองล่ะ
ในโลกการค้าทุกวันนี้ เราอาจจะตกเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายของผู้ประกอบการสินค้ามากมาย พวกเขาใช้กลยุทธ์หลอกล่อ ใช้สิ่งของแถม ใช้ส่วนลด ใช้เงินผ่อน มาตรการต่างๆ กำลังท้ารบพวกเราอยู่ การต่อสู้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า บางคนต้องพ่ายเกมล่อใจจนที่บ้านมีสินค้าหลายชิ้นวางกองโชว์อยู่ ไม่ค่อยได้ใช้ แพ้หลายหนจึงจะมีสติกลับมาตั้งตนเป็นฝ่ายรุกคือ เอาชนะใจตนเองได้ เอาชนะความโง่เขลา ที่จะตามคว้าครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นของตน โดยที่ไม่เกิดประโยชน์หรือคุณค่าแก่ตนเอง เพราะหากยิ่งเดินถลำตามการจูงของความอยากได้ ตามเสียงของกลยุทธ์การขาย ก็ยิ่งเพลินยิ่งเตลิดไปกับสีสันสินค้าใหม่ๆ อันหมุนเวียนมาไม่หยุดหย่อน
หากได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสซักครั้ง ใช้ความพ่ายแพ้เป็นบทเรียน ให้กลับมามองตนเอง ส่องกระจกข้างในจนเห็นสมรภูมิการต่อสู้ประจักษ์แล้ว เชื่อแน่ว่าไม่มีใครอยากจะเพลี่ยงพล้ำเจ็บซ้ำๆ ซากๆ หรอก
ขอให้ประสบความสำเร็จโดยมีน้องอุดมพรเป็นแรงกระตุ้นแล้วกัน
สู้โว้ย!