หน้าแรก เขียนใบสมัครงาน ลงโฆษณางาน ค้นหาใบสมัครงาน คู่มือการใช้งาน Menu

สนใจลงโฆษณา โทร. 02-275-1900, 02-612-4900, 038-395000

space
   ค้นบ่อย : หางานบัญชี, หางานธุรการ, หางานจัดซื้อ, หางานผู้จัดการ, หางานขับรถ, หางานบุคคล, หางานคลังสินค้า, หางานครู, หางานวิศวกร, หางานเขียนแบบ, หางานคีย์ข้อมูล, หางานการตลาด, หางานโรงแรม, หางานสิ่งแวดล้อม, หางานคอมพิวเตอร์, หางาน Programmer, หางานประชาสัมพันธ์, หางานช่าง, หางานสถาปนิก
เรื่อง ตำนานแปดเซียน
เขียนโดย ศักดิ์ดา โตรื่น

Rated: vote
by 0 users

คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?

 




พอดีไปเที่ยววิหารเซียนมา....มราคนถามเยอะ เลยเอามาฝาก


..... ประเทศไทย ที่ "เยาวราช" ก็ถือเป็นรากเหง้าของคนจีนในเมืองไทยเกือบทุกแซ่ หรือ จะทุกแซ่ ก็น่าจะว่าได้ คุณย่าของตาลก็เป็นคนจีนเช่นกัน ที่มีบรรพบุรุษ โล้สำเภามาจากจีนโพ้นทะเล และ ปัจจุบันถ้าจะนับสืบทอดกันจริงๆนั้น คงจะเห็นว่า พวกเราคนไทย หน้าตาไม่ไทยแท้แล้ว

..... นับเป็นโชคดี ของพวกเราชนรุ่นหลัง ที่มีเชื้อสายสัมพันธ์ ไทย-จีน อย่างแน่นแฟ้นไปเรียบร้อย จนมีคำใช้เรียกเฉพาะว่า "คนไทยเชื้อสายจีน"

..... คนที่ชอบอ่านตำนาน พงศาวดารอะไรที่มันโบราณมากๆ ไม่ว่าจะของชาติไหนก็ตาม ย่อมจะพบว่า ในบรรดาตำนานพวกนี้ มักจะมี เรื่องมหัศจรรย์ ปนอยู่เสมอ ไม่มากก็น้อย ยิ่งเป็นเรื่องเก่าแก่มากเท่าใด ก็ดูเหมือนมีเรื่องประเภทนี้มากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอกแล้ว กินขนมเชื่อไว้ก่อนได้เลยว่า เวลาตกทุกข์ได้ยาก ขนาดที่ว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะเก็บชีวิตรอดมาเล่าเรื่องให้ฟังได้นั้น ก็ให้บังเอิญมีคนมาช่วยอยู่เสมอ และคนที่มาช่วยนั้น ก็ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญเสียด้วย แต่มักจะเป็นคนที่มีอำนาจพิเศษในตัวไปเสียทั้งนั้น หรือ ที่เรียกกันว่า...ผู้วิเศษบ้าง ฤษีบ้าง เทวดาอารักษ์บ้าง ตามแต่ผู้แต่งจะสรรหา เรียกมา

..... แล้วตำนานทั้งปวงก็จบลง อย่างโลดโผนพิสดารดี จนขนาดคนในยุคคอมพิวเตอร์อย่างเรา ต้องอ้าปากค้าง ก็แล้วกัน

..... ประเทศที่มีประวัติศาสตร์ ย้อนหลังไปนานๆ หลายพันปีอย่างจีนนั้น จัดได้ว่าเป็นประเทศโบราณว่างั้นเถอะ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อม มีเรื่องระทึกใจประเภทนี้ ปะปนอยู่เป็นธรรมดา แถมยังมีมากเสียอีกด้วย ในบรรดาผู้วิเศษ และ เทวดา จำนวนมากมายก่ายกองนั้น ก็ต้องนับว่า ที่เป็นที่รู้จักกว้างขวาง ขนาดจรดฝั่งทะเลทั้ง 4 นั้น เห็นจะได้แก่ ผู้วิเศษทั้ง 8 หรือ ที่เรียกกันว่า โป๊ยเซียน นั่นแหละ
..... ตามความเข้าใจของจีนนั้น "เซียน" หมายถึงคนที่มี ศีลธรรม และ คุณธรรม ในอัตราที่สูงมาก ครั้นได้ฌานแก่กล้ามากๆเข้า ก็มีอายุยืนขนาดเป็นอมตะ คือ ไม่ตาย ทั้งรู้เวทมนตร์ มีของวิเศษ ประเภท กระบี่บิน จะไปไหนมาไหน ก็ไม่ต้องต่อค่ารถให้เสียอารมณ์ เพราะเรียกเมฆมาเหยียบเหาะไปได้เลย จะหายตัวแปลงร่าง อยากใช้เงินก็เสกดินให้เป็นเงิน เสกใบไม้ให้เป็นอีแปะ ก็ย่อมได้อีกเหมือนกัน ง่ายพอๆกับพลิกฝ่ามือ นั่นแหละ

แต่.....เซียนพวกนี้ ท่านมีอัธยาศัยชอบอยู่ตามป่า ตามเขาลึกๆ เลยไม่ค่อยได้พบเห็นกัน สรุปได้ว่า ผู้ที่เป็นเซียนนั้น ต้องเก่งไปหมดทุกอย่าง ลักษณะทั้งหมดนี้ สำหรับคนไทยที่เคยกับเรื่อง จักรๆ วงศ์ๆ แล้วจะเข้าใจดีว่า เซียนก็เหมือนกับนักสิทธิ์ วิทยาธร โยคี มุนี ฤษี ชีป่า ที่เราๆท่านๆ รู้จักดีนั่นแหละ

เพียงแต่ว่า.....คนที่จะเป็นเซียนได้นั้น ไม่ใช่ว่าใครที่มีฤทธิ์เดชอย่างที่ว่าแล้ว จะเป็นได้เสมอไป เพราะเซียนนั้น ต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามลัทธิเต๋าจนสมบูรณ์ รู้ถึงความลับของธรรมชาติ ตามมรรคาของเต๋าเท่านั้น จึงจะได้ชื่อว่าเป็น.....เซียน

..... เซียนทั้ง 8 ของลัทธิเต๋านี้ เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ต่างกัน มีวิถีชีวิตที่ต่างกัน เป็นทั้งคนชั้นสูง คนสามมัญ คนจน คนรวย คนหนุ่ม คนแก่ ทั้งเป็นได้ทั้ง ชาย และ หญิง อีกด้วย ผู้สันทัดกรณีรายหนึ่งบันทึกเอาไว้ เมื่อประมาณ 300 ปีที่แล้วว่า นักปราชญ์จีนโบราณที่ ไคยูเคา เชื่อว่า เรื่องเซียนทั้ง 8 นี้เกิดขึ้น อย่างเก่งไม่น่าจะเกินสมัยของ...ราชวงศ์หงวน

แม้ว่า มีบางคนที่จะได้รับการยกย่องว่า เป็นเซียนในกลุ่มของผู้นับถือลัทธิเต๋า ไปก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม ก็ในเมื่อเรื่องโบราณขนาดนั้นแล้ว ทั้งเล่าสู่กันฟังมานานนมเต็มที กว่าจะมาถึงเมืองไทยได้ ก็ยิ่งกระท่อนกระแท่นมากขึ้น เรื่องโป๊ยเซียนในประเทศไทยจึงสับสน และ เล่ากันหลายสำนวนเต็มที ก็คงเพี้ยนกันมาเรื่อยๆนั่นแหละ

..... รวมทั้งเรื่องที่จะเล่าต่อไปด้วย อ่านไปสบายๆให้หายเครียดก็แล้วกัน จะไปเอาจริงจังอะไรกับนิยายกันนักหนา เนื้อเรื่องอย่างเดียว ก็มหัศจรรย์เต็มทีแล้ว

เซียนองค์ที่ หนึ่ง

..... เป็นคนแซ่หลี ชื่อเฮี้ยง แต่เรียกกันทั่วไปว่า "หลีทิไกว้" เป็นคนเมืองจ๊อก แถบมณฑลเสฉวน ในสมัยแผ่นดินจิว ก็ประมาณ 2,700 ปีมาแล้ว เล่ากันว่าเป็นคนที่มีความกตัญญูสูงมาก โตขึ้นก็สนใจศึกษาตามแนวทางลัทธิเต๋า ไม่ยุ่งกับเรื่องทางโลกีย์วิสัย จนสำเร็จเป็นเซียนไป และ มักจะถอดจิตไปยังที่ต่างๆอยู่เสมอ มาวันหนึ่ง จะขึ้นไปหาเล่าจื้อ ศาสดาของลัทธิเต๋า หรือ ในบางแห่งกล่าวว่าเป็น ลีเล่ากุน จึงสั่งศิษย์ไว้ว่า จะไม่อยู่หลายวัน เสร็จธุระแล้วจะกลับมา ดูแลให้ดีด้วย

..... แล้วก็ถอดวิญญาณออกจากร่างไป ฝ่ายศิษย์ที่ชินกับการที่อาจารย์นอนนิ่งๆอยู่บ่อยๆ ก็ปฏิบัติงานไปตามปกติ จนวันที่ 6 เกิดได้ข่าวว่าแม่เจ็บหนัก ถ้าไม่รีบไปอาจจะไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย ทั้งผิดวิสัยบุตรจะพึงปฏิบัติกับผู้บังเกิดเกล้า แถมเจ้าคนใช้ที่มาแจ้งข่าวยังยุว่า อาจารย์ของท่านตายไปตั้ง 6 วันแล้ว คงไม่ฟื้นแน่ๆ ศิษย์ก็เลยฌาปนกิจให้เรียบร้อย แล้วลงจากเขาไป
เมื่อโปรแกรมคลาดเคลื่อนไปเช่นนี้ หลีทิไกว้ ที่กลับมาจากภูเขาแห่งอมตะ ก็เลยไม่มีร่างจะอาศัย บังเอิญไปพบขอทานขาเป๋ ที่เพิ่งตายไปใหม่ๆเข้า เมื่อไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ก็เลยเข้าไปอาศัยร่างของขอทานขาเป๋ เข้าตำราสิบเบี้ยใกล้มือ ก็ต้องเอาไว้ก่อนนั่นแหละ

..... ร่างกายที่เคยสง่างาม ก็กลายเป็นขอทานขาเป๋ไป ต้องใช้ไม้เท้าเหล็กยันกายเอาไว้ ไม้เท้าเหล็กกับน้ำเต้า จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของเซียนองค์นี้ไป และก็เพราะไม้เท้าเหล็กนั้น เรียกขานกันในภาษาจีนว่า "ทิไกว้" เมื่อเอาแซ่ "หลี" เพิ่มเข้าไปข้างหน้า ก็เลยกลายเป็น "หลีทิไกว้" หรือ "หลีไม้เท้าเหล็ก" ไป

..... รูปของเซียนองค์นี้ จึงเขียนเป็นรูป ... ขอทานขาเป๋ ยันด้วยไม้เท้าเหล็ก ในมือถือน้ำเต้าแห้ง มีควันพลุ่งออกมา ซึ่งหมายถึงความสามารถ...ถอดจิตวิญญาณ ได้นั่นเอง
เซียนองค์ที่ สอง

..... ชื่อว่า "ฮั้งจงหลี" เป็นคนเจ้าเนื้อ ไว้ผมแกละ มีหนวดเครางามดำเหมือนขนกาน้ำ ชอบใส่เสื้อแดงเปิดพุง มือถือพัดใบลานที่ยอดผูกด้วยขนจามรี เรียกว่า พัด "โป๊ยป๊อยู่อี่" แปลว่า วิเศษสมใจนึกแปดประการ ซึ่งบางแห่งก็กล่าวว่าเป็นพัดวิเศษ ใช้ชุบชีวิตคนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นได้ เกิดในตระกูลขุนนาง ที่เมืองห้ำเอี๊ยง เป็นคนมีสติปัญญาดีมาตั้งแต่ยังเล็ก จึงมีความชำนาญทั้งทาง บู๊ และ บุ๋น คือ เก่งทั้งทางทหาร และ อักษรศาสตร์ ครบครัน

..... ทั้งได้เข้ารับราชการ จนมีตำแหน่งสำคัญ แต่ก็ทนการใส่ร้ายป้ายสี ใส่ไฟสุมฟืน ของพวกขุนนางขี้โกง ที่ได้รักษาประเพณีนี้ไว้อย่างเหนียวแน่น มาจนทุกวันนี้ไม่ไหว เลยลาออกไปปฏิบัติตามแนวทางของเต๋า จนสำเร็จเป็น.....เซียน

ประวัติของเซียนองค์นี้ ที่เกิดเบื่อโลกแล้ว ออกไปอยู่ป่านั้น มีเล่ากันไว้หลายอย่าง บ้างก็ว่าเซียนองค์นี้ เป็นเทวดารักษาห้องสมุดบนสวรรค์ เกิดทำผิดเลยต้องลงมาเกิดในโลกมนุษย์ เข้ารับราชการทหารได้เป็นถึงแม่ทัพ รบกับพวกฮวน แล้วฆ่าศัตรูไปมากมาย จนเซียนองค์ที่หนึ่ง ต้องมาชี้ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง แล้วเกิดสลดใจ จึงออกไปปฏิบัติตามแนวทางของเต๋าจนสำเร็จ

..... หรือ อีกเรื่องที่น่าสนุกกว่าในระดับชาวบ้านก็ว่า "ฮั้งจงหลี" เป็นคนชอบศึกษาปรัชญาอยู่แล้ว วันหนึ่งเดินไปพบหญิงคนหนึ่ง ท่าทางเศร้าโศก นั่งอยู่ริมทาง กำลังใช้พัด พัดโบกมูลดินแห่งหนึ่งอยู่ ด้วยความแปลกใจ

ฮั้งจงหลี.....จึงเข้าไปถามว่า ทำไมถึงได้ประพฤติอะไรชอบกลอย่างงั้น หญิงนั้นก็อรรถาธิบายว่า กำลังนั่งพัดมูลดินหลุมศพของสามีที่เพิ่งตายไป ก่อนตายสามีของนางสั่งไว้ว่า ห้ามแต่งงานใหม่ จนกว่าดินที่หลุมศพจะแห้ง ตอนนี้ก็มีแฟนใหม่แล้ว ที่นั่งพัดอยู่นี่ก็เพื่อให้ดินมันแห้งเร็วๆเท่านั้นแหละ เป็นงั้นไป...!!

ฮั้งจงหลี..... เลยช่วยพัดให้ดินแห้งเร็วๆขึ้น หญิงนั้นก็ขอบคุณ แล้วลาไป ก็รีบร้อนถึงขนาดลืมทิ้งพัดไว้ ฮั้งจงหลี...ก็เลยต้องถือพัดนั้นกลับบ้าน ภรรยาเห็นพัดเข้า ก็ถามดู รู้ความแล้ว ก็สวดหญิงม่ายคนนั้น ด้วยความโกรธว่า เป็นคนไม่ดี นี่ถ้าเป็นฉันหล่ะก็ ไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด

ฮั้งจงหลี..... นึกอยากลองดีขึ้นมา เลยแกล้งทำเป็นตาย แล้วปลอมตัวเป็นชายหนุ่มมาติดพันภรรยาของตนเอง เหตุการณ์ก็เหมือนๆกับกรณีของหญิงม่ายหน่ะแหละ หนุ่มปลอมก็แกล้งบอกภรรยาของ"ฮั้งจงหลี" ว่า อยากได้มันสมองของสามีเก่าของนาง ภรรยาของ"ฮั้งจงหลี" ก็กระวีกระวาดเปิดโลงออก ชายหนุ่มปลอมก็หายไป

แต่..... "ฮั้งจงหลี" ที่ทำเป็นตายก็ฟื้นขึ้นมา ภรรยาได้รับความอัปยศมากมาย เลยผู้คอตาย...!!

คืนนั้น..... บ้านของ "ฮั้งจงหลี" ก็เกิดเพลิงไหม้ ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า มีคนเห็น "ฮั้งจงหลี" ถือพัด หนีบคัมภีร์ของลัทธิเต๋าออกจากบ้านหายไป

เป็นอันว่า..... เกิดเบื่อโลกก็แล้วกัน ใครอยากจะเชื่อเรื่องไหนก็ย่อมได้ ไม่ผิดกติกาอะไรทั้งสิ้น "ฮั้งจงหลี" จึงศึกษาตามวิธีของเต๋า มีสำนักอยู่ที่ภูเขาคงท้งซัว ตอนที่จะสำเร็จเป็นเซียนนั้นกล่าวว่า "ฮั้งจงหลี" ไปเสพสุราที่งักเอี้ยงเหลา ได้ที่แล้วก็เหาะขึ้นสวรรค์ไป ส่วนสัญลักษณ์ของเซียนองค์นี้ ก็ได้แก่ "พัด" ที่ถืออยู่ในมือนั่นแหละ

เซียนองค์ที่ สาม

..... เป็น ชายชรา มีหนวดเคราขาวเหมือนปุยฝ้าย สวมหมวก มือถือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง เรียกว่า ยูคู เป็นกระบอกไม้ไผ่ มีไม้บรรจุอยู่ ไว้เขย่า ลักษณะเหมือนติ้วไม้ไผ่ สัญลักษณ์ของเซียนองค์นี้ จึงเป็นกระบอกยูคู นี่แหละ มีชื่อว่า "เตียก๋วยเหลา"

..... เป็นคนในสมัยราชวงศ์ถัง มีบางตำนานกล่าวว่า เดิมเป็นค้างคาวเผือก จำศีลอยู่นานมากจนกลายเป็นคน และเป็นเซียนไปในที่สุด องค์นี้ก็เหมือนกัน ใครจะเชื่อก็ได้ไม่ขัดอัธยาศัย เวลาจะเดินทางไปไหนมาไหน "เตียก๋วยเหลา" มีฬาสีขาวขี่เป็นพาหนะ "ฬา" ที่กล่าวนี้ เดินเร็วมาก วันละหลายพันลี้ทีเดียว การเลี้ยงดูก็ไม่ต้องสนใจ เวลาไม่ต้องการใช้ก็พับเก็บเอาไว้ เวลาจะใช้ก็เอาน้ำพรมๆเข้า "ฬา" ก็ขยายตัว สามารถออกเดินได้ นับว่ามหัศจรรย์ดีมาก เหมาะกับยุคน้ำมันแพงๆของเราจริงๆ ทั้งไม่ต้องเปลืองที่เก็บอีกด้วย

..... ตามประวัตินั้น ว่ากันว่า ชื่อเสียงของ "เตียก๋วยเหลา" เป็นที่รู้จักกันไปจนถึงฮ่องเต้ในสมัยราชวงศ์ถัง นับตั้งแต่ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ พระเจ้าถังเกาจงฮ่องเต้ พระนางบูเช็กเทียน พระเจ้าถังเหี้ยนจงฮ่องเต้ ที่ต่างองค์ก็พยายามชวนท่านผู้นี้ ให้มารับราชการ แต่ก็ไม่สำเร็จแม้แต่พระองค์เดียว

เซียนองค์ที่ สี่

..... "ฮั้งเซียงจื๊อ" เกิดในสมัยแผ่นดินถัง เป็นหลานของ ฮั้งบุนกง เสนาบดีผู้มีชื่อเสียง กล่าวกันว่า เมื่อยังเล็กเคยได้กินลูกท้อวิเศษจากเซียน ลื่อท่งปิน จึงมีอายุยืน และ คงจะบำเพ็ญเพียรต่อมาจนมีเวทมนตร์คาถาหลายอย่าง ทั้งเคยแสดงให้เป็นที่รู้จักกันทั่วไป

..... ในคราวที่ท่านอา ฮั้งบุนกง จัดงานเลี้ยงใหญ่ที่บ้าน จนสุราดีจะหมดลง "ฮั้งเซียงจื๊อ" จึงหยิบเอาน้ำเต้าแห้งที่ใส่เหล้ามารินสุราดี มีรสเข้มออกมาเลี้ยงแขก ชนิดที่รินเท่าไรก็ไม่หมด นอกจากนี้ ยังช่วยเสกให้มีต้นไม้งอกขึ้นในกระถางเตาไฟ และ สามารถออกดอกบานสะพรั่งได้ในชั่วครู่อีกด้วย

..... ซึ่งนอกจากจะช่วยให้บรรยากาศในงานเลี้ยงของท่านอา ดีขึ้นมากแล้ว ยังช่วยทำนายอนาคตของท่านอาได้ถูกต้อง ด้วยข้อความที่ปรากฏในกลีบดอกไม้ที่บานสะพรั่งนั้น

..... เมื่อท่านอาฮั้งบุนกงต้องพระราชอาญา เพราะไปทูดทัดทานฮ่องเต้ โอรสแห่งสวรรค์ไม่ให้เชื่อเรื่องพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า จนถูกลดตำแหน่งต้องย้ายไปเป็นผู้ว่าราชการในแขวงเมืองแต้จิ๋วนั้น ปรากฏว่ากองคาราวานของท่านอา ไปติดหิมะอยู่ที่ด่านหลานกวนนั้น

..... "ฮั้งเซียงจื๊อ" ต้องไปช่วยให้เดินทางต่อไปได้อย่างปลอดภัย สมตามคำทำนายที่เขียนไว้บนกลีบดอกไม้ แถมยังทำประโยชน์ให้ชาวเมือง โดยห้ามไม่ให้น้ำท่วมเมืองแต้จิ๋ว กล่าวกันว่า ปัจจุบันยังมีสะพาน "เซียงจื๊อ" อยู่แห่งหนึ่งที่เมืองหูเซี้ย

..... "ฮั้งเซียงจื๊อ" ชอบผิวขลุ่ย และ ก็ไพเราะมาก ขนาดพวกนกบินมาจับกลุ่มฟังกันหนาแน่น สัญลักษณ์ของเซียนองค์นี้ จึงทำเป็นรูปขลุ่ย เชื่อกันว่า เป็นเซียนที่ให้ความคุ้มครอง แก่พวกนักดนตรี

เซียนองค์ที่ ห้า

..... "เช่าก๊กกู๋" อันที่จริงเซียนองค์นี้ แซ่เช่า ชื่อ เตี้ยง แต่ด้วยเหตุที่เกิดมาในตระกูลสูงมีศักดิ์เป็นถึงน้าของฮ่องเต้ คนทั่วไปจึงเติมคำว่า "ก๊กกู๋" คือ น้าแห่งราชวงศ์ เข้าไปข้างหลังแซ่ ตามศักดิ์ที่เป็นน้องชายของพระราชชนนีของฮ่องเต้ จึงกลายเป็น "เช่าก๊กกู๋" ไป

..... ตามตำนานกล่าวว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้มีความรู้สูง ซื่อตรง และ แตกฉานในคำสอนของลัทธิเต๋า ดังนั้น ความคิดที่จะกอบโกยไว้ให้รวยล้นฟ้าเหมือนพวกข้าราชการหน้าด้าน หน้าดำ ทั้งหลายนั้น จึงไม่มี ทั้งๆที่สามารถทำได้ง่ายๆ โดยอาศัยพี่สาวของตนที่เป็นถึงแม่ของพระเจ้าแผ่นดิน

..... "เช่าก๊กกู๋" จึงเหมือนเป็นจระเข้ขวางคลองของพวกข้าราชการที่ชอบคดโกงทั้งปวง แต่เมื่อปรากฏว่าพระเจ้าแผ่นดินจีนทรงเชื่อแต่พวกลิ้นกระดาษทราย ที่ถือนโยบายสอพลอเป็นสำคัญนั้น มากกว่า

ทั้งมากเข้า และ บ่อยเข้า "เช่าก๊กกู๋" ก็เลยลาออกไปปฏิบัติธรรม ตามแนวลัทธิเต๋า โดยมีเซียน ลื่อท่งปิน แนะนำจนสำเร็จเป็นเซียน ในเวลาต่อมา ด้วยฐานะที่เป็นถึงน้าของฮ่องเต้ โอรสแห่งสวรรค์ "เช่าก๊กกู๋" จึงแต่งตัวภูมิฐานแบบข้าราชการเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ มือถือกรับจีนอยู่ในมือคู่หนึ่ง

..... ซึ่งกล่าวกันว่า เป็นป้ายอาญาสิทธิ์ สำหรับเข้าออกพระราชฐานได้ ตามสิทธิ์ที่เป็นน้าของพระเจ้าแผ่นดิน สัญลักษณ์ของท่านผู้นี้จึงเป็น...กรับจีนคู่หนึ่ง ใครไม่เคยเห็นจะหาโอกาสไปดูละครโอเปร่าจีน ที่พวกเราเรียกกันว่า "งิ้ว" นั่นแหละ ในเมืองไทยก็ยังพอหาดูได้อยู่ และ ยังเป็นเซียนอีกองค์หนึ่ง ที่พวกนักดนตรีนับถือ

เซียนองค์ที่ หก

..... แซ่ลื่อ ชื่อ ง๊ำ มีชื่อรองว่า ท่งปิน จึงเรียกกันว่า "ลื่อท่งปิน" เป็นคนเกิดในสมัยแผ่นดินถัง ที่อำเภอหยงลัก เมืองพู่จิว มีความรู้ด้านต่างๆ เรียกว่ารอบตัว เคยรับราชการเป็นถึงนายอำเภอ ต่อมาไม่ทราบว่าเกิดเบื่ออะไรขึ้นมา จึงบวชเป็นนักพรต ในลัทธิเต๋า มีฉายาว่า ซุ่งเอี้ยง แปลว่า แสงสว่างดังอาทิตย์ และ ไปจำศีลที่ภูเขาจงน่ำซัว

..... ได้รับคำแนะนำจากเซียน ฮั้งจงหลี จนสำเร็จได้เป็นเซียน จากนั้นก็ธุดงค์ไปช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก เดือดร้อนต่างๆเรื่อยไป เคยช่วยปราบมังกรที่ชอบทำอันตรายผู้คน และ ชาวประมงที่สัญจรไปมาในท้องน้ำ โดยโยนกั้นหยั่นไปเสียบมังกรตาย หรือ

..... หรือไปกินเหล้า แต่วาดรูปนกกระเรียนใช้แทนเงิน พอมีผู้คนที่มาเสพสุรา นกกระเรียนก็จะออกมาเต้นรำให้ดู จนเจ้าของเหลาร่ำรวย มีอีแปะเก็บไว้ได้หลายสิบหมื่น

..... "ลื่อท่งปิน" เป็นเซียนที่พวก ช่างตัดผม กับ คนป่วย นับถือบูชา โดยมากทำเป็นรูปนักพรตสูงอายุ มีหนวดเคราสีดำยาวระหน้าอก เกล้ามวยสูง เสียบกั้นหยั่น หรือ กระบี่ ไว้ข้างหลัง ถือแซ่อยู่ในมือ ดูน่าเกรงขาม สัญลักษณ์ของเซียนท่านนี้ จึงใช้เป็น...รูปกระบี่
เซียนองค์ที่ เจ็ด

..... นับว่าเป็นเซียนผู้หญิงเพียงคนเดียว ในเซียนทั้งแปด มีชื่อเดิมว่า เค๊ง ชื่อรองว่า เฮียงเน้ย แปลว่า ดอกบัว แต่คนทั่วไปเรียกว่า "ฮ่อเซียงโกว" เป็นคนเกิดในสมัยถังประมาณ 1,300 ปีมาแล้ว ที่เมืองเล่งเล้ง แต่ไปมีพื้นเพเดิมที่อำเภอเจงเซี้ย กวางตุ้ง

..... เซียนองค์นี้กล่าวกันว่า เคยได้กินลูกท้อวิเศษ จึงกลายเป็นอมตะไป นางมักใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสวดมนต์ภาวนา เวลาที่เหลือก็มักไปนั่งเย็บปักถักร้อย อยู่ใต้ต้นลิ้นจี่ เป็นประจำ ต่อมาเมื่อ ลื่อท่งปิน มาช่วยสั่งสอนแล้ว ก็สำเร็จเป็นเซียนไป ความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น คือ ต้นลิ้นจี่ที่เคยนั่งพักผ่อนเป็นประจำ และ เคยเอาด้ายเขียวไปคล้องไว้นั้น

..... เมื่อถึงฤดูออกลูก ก็ปรากฏว่ามีเส้นสีเขียวเล็กๆ ติดที่เปลือกลิ้นจี่ทุกลูกไป ชาวบ้านจึงเรียกลิ้นจี่พันธุ์นี้ว่า "เซ้าเล็ก" แปลว่า ด้ายเขียว วันหลังใครมีเวลาลองหยิบลิ้นจี่ไทยดูบ้าง ก็ได้ว่า มีเส้นเขียวๆ ที่เปลือกหรือเปล่า บางทีอาจได้กินลิ้นจี่ พันธุ์เซียนเชียวนะ

..... นางมีสัญลักษณ์คือ ดอกบัว ที่ถืออยู่ในมือตลอดเวลา และ นางก็เป็นที่บูชาของผู้ที่เป็นแม่บ้านทั้งหลายอีกด้วย

เซียนองค์ที่ แปด

..... เป็นเด็กหนุ่ม ถือกระเช้าดอกไม้ติดตัวตลอดเวลามีชื่อว่า ไฉฮั้ว แซ่น่า เรียกกันว่า "น่าไฉฮั้ว" เกิดที่เมืองเซี่ยงอัน ในสมัยถังเหมือนกัน "น่าไฉฮั้ว" มีพฤติกรรมที่ผิดกับคนทั้งปวงอยู่เสมอ เช่น สวมรองเท้าข้างเดียว หน้าร้อนก็ใส่เสื้อเสียหนาเตอะ ครั้นพอหน้าหนาวเค้าก็กลับใส่เสื้อบางๆ แถมแบะอกหรา หรือไม่ก็ถอดเสื้อเอาเลย

..... ไปไหนมาไหน จะถือไม้เคาะจังหวะไว้อันหนึ่ง เป็นคนที่ไม่รู้จักค่าของเงิน หากได้มา ถ้าไม่เที่ยวแจกคนยากจนเข็ญใจจนหมด ก็มักเอามาร้อยเชือกลากเล่น "น่าไฉฮั้ว" ชอบกล่าวบทโคลงที่เป็นคติสอนคนทั่วไป เมื่อได้รับคำแนะนำจากหลีทิไกว้แล้ว ก็เรียนรู้ความเป็นอมตะจนสำเร็จเป็นเซียน

ว่ากันว่า วันที่จะสำเร็จนั้น "น่าไฉฮั้ว" ไปนั่งกินเหล้าที่เหลาแห่งหนึ่ง จนได้ที่แล้ว ก็ขี่นกกระเรียนขึ้นสวรรค์ไป โดยที่ชอบหิ้ว...กระเช้าดอกไม้ เป็นประจำ และ ก็ไม่ทราบว่าหิ้วไปทำไม ดังนั้น กระเช้าใส่ดอกไม้ จึงเป็นสัญลักษณ์ของเซียนองค์นี้

..... พวกชาวไร่ ชาวนา ก็มักจะนำเซียนองค์นี้มา บูชา กันมากเป็นพิเศษ

ตามคำอธิบายของจีนนั้น ปรากฏว่ามีการแบ่งชั้นของเซียนออกไปตามภูมิพื้นเพเดิม และ ความสามารถถึงหกชั้น คือ

- เซียนปีศาจ ก็ได้แก่ พวกปีศาจที่ประพฤติแต่ความดี บำเพ็ญภาวนาจนมีฤทธิ์เดช และ ได้ฌานเบื้องต้น
- เซียนสัตว์ ได้แก่ สัตว์ที่มีอายุยืนที่จำศีลอยู่นานๆเข้าก็มีฤทธิ์ และ ได้ฌานเบื้องต้น
- เซียนมนุษย์ นั้น จัดเป็นเซียนพวกที่สาม เป็นพวกอยู่กลางๆ เกิดจากคนที่บำเพ็ญตบะจนได้ฌาน มีอำนาจตามขั้นของฌานที่ได้รับ แต่ถ้าสามารถได้ฌานชั้นสูงแล้ว ก็จัดเป็น
- เซียนปฐพี มีอายุยืนยาว มีอำนาจฤทธิ์เดชมาก ถ้ายังบำเพ็ญเพียวต่อไป ก็จะเป็น
- เซียนเทพารักษ์ ที่มีฌานแก่กล้ามาก รูปกายจะหายไปเหลือแต่วิญญาณ

..... เซียนทั้ง 5 พวกนี้ ถ้าได้บำเพ็ญเพียรเรื่อยๆไป ก็จะบรรลุฌานขั้นสูงสุด แล้วก็จะถูกจัดเป็น...เซียนสวรรค์

ม้ว่า.....เรื่องเซียนจะมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนก็ตาม แต่ก็ได้แพร่หลายเข้ามาในเมืองไทยนานหนักหนา จนเป็นที่รู้จักของชาวไทยดี จนมีคำว่า "เซียน" ใช้ติดปากกันอยู่ทั่วไป ในความหมายว่า เก่งเป็นเลิศในทางใดทางหนึ่ง เช่น เซียนพระ เซียนมวย หรือ เซียนพนัน

ครั้น.....นานๆเข้า เซียนพวกนี้ ที่ยังไม่ได้สำเร็จฌานอะไรทั้งนั้น จะมีก็แต่ความละโมบโลภมาก อัธยาศัยก็ยังมีกิเลสอยู่เต็มเปี่ยม ทั้งมีมากกว่าคนธรรมดาทั่วๆไปอีกด้วย คำว่า...เซียน ในความหมายของภาษาไทยที่เป็นคำสแลงมาทั้งหลายอยู่แล้วนั้น จึงมีความหมายเพี้ยนไป ในลักษณะของคนเลว ซึ่งบางที่ก็พาลเรียกว่า "เสี้ยน" ไปเลยก็มี เพราะขวางโลก คอยรบกวนคนทั่วไป ใครที่มีคนเค้ายกย่องว่า เป็น เซียนม้า เซียนผู้หญิง จึงไม่ใช่คำชมอย่างแน่นอน

โป๊ยเซียน ..... นอกจากจะหมายถึง เซียนผู้วิเศษ 8 องค์ ที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีอิทธิพลออกมาในรูปอื่นๆด้วย เพราะอาจหมายถึงต้นไม้ชนิดหนึ่ง ที่มีหนามแหลมๆ รอบต้นเหมือนตัวบุ้ง ที่พอออกดอก แล้วชาวบ้านก็จะพยายามนั่งนับ ยืนนับทุกวันให้ได้ 12 ดอก หรือ 24 ดอก แล้วเจ้าของก็ต้องรีบเอาโบว์แดงไปผูกรับขวัญ นัยว่าจะ มีโชค มีลาภ อะไรนี่แหละ

พิพิธภัณฑ์สุสานจิ๋นซี (Terracotta Warriors) สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก จากการยกย่องจากองค์การยูเนสโก ด้วยว่าปี ค.ศ.1947 มีชาวนายากจนชื่อ หยาง ซือ ฟา ขุดพบตุ๊กตาดินเผาหลายพันตัวขณะขุดบ่อน้ำใกล้ที่นาของตน ปัจจุบันชาวนาผู้นี้นั่งประจำอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เพื่อคอยแจกลายเซ็น จ่ายเงินประมาณ 80 หยวน หรือ 400 บาท แลกกับลายเซ็นผู้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ ถือว่าคุ้ม !

ตามตำนานประวัติศาสตร์จีนเล่าสืบกันมาว่า สุสานจิ๋นซี สร้างขึ้นสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ขึ้นครองราชย์ครั้งทรงพระเยาว์ เกณฑ์คนงานกว่า 700,000 คน ใช้เวลาร่วม 40 ปีกว่าจะสำเร็จออกมาให้คนรุ่นหลังได้ตื่นตาขนาดนี้ ทั้งนี้เป็นความเชื่อในเรื่องหลังความตายของคนจีนสมัยก่อน ครั้นเมื่อจิ๋นซีฮ่องเต้เสด็จสวรรคต รูปปั้นดินเผาเหล่านี้จึงเหมือนเป็นบริวารคอยรับใช้และปกป้อง

ภายในพิพิธภัณฑ์ ประกอบด้วยรูปปั้นทหารขนาดใหญ่เท่ากับตัวคนอาวุธครบมือ และม้าเทียม รถศึก หลุมแรกเป็นทหารราบที่มีตุ๊กตาดินเผาอยู่รวมมากที่สุดกว่า 6,000 ตัว หลุมที่สอง เป็นกองกำลังเสริม หลุมที่สามเป็นกองบัญชาการ จะรู้ว่ารูปปั้นทหารตัวใดมียศตำแหน่งแค่ไหน สังเกตจากการแต่งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็นการหวีผม เสื้อเกราะ รองเท้า สำหรับรูปปั้นทหารตัวใหญ่สุดสูง 1.97 เล็กสุด 1.78 เมตร หนักสุด 330 เบาสุด 110 กิโลกรัม แต่ถึงจะเล็กสุดแต่หากได้เห็นใกล้ ๆ ตัวใหญ่กว่าคนไทยเท่าตัวเชียวแหละ

ส่วนสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ยังไม่มีการขุดขึ้นมา เพราะเกรงว่าสีของรูปปั้นตุ๊กตาดินเผา 21 สี (ตามคำบอกกล่าว) จะจางหายไปเหมือนรูปปั้นทหารที่เปิดให้ชมซึ่งเห็นเพียงดินสีเหลืองล้วนๆ

ข้อห้ามของที่พิพิธภัณฑ์สุสานจิ๋นซีแห่งนี้คือ ห้ามถ่ายรูป เพราะอาจจะทำให้สีผิวของตุ๊กตาดินเผาเปลี่ยนไปจากเดิม แต่ก็มีหลายคนแอบถ่าย ฉันอดไม่ได้ที่ขอแอบแชะ แชะ ด้วยคน ปรากฏว่าล้างออกมาไม่ติดสักรูป เป็นปาฏิหาริย์หรือเปล่านั้นมิอาจทราบ ซึ่งจริงๆ ถ้าพอมีเวลา ฉันอาจจะควักกระเป๋าจ่ายเงินเพื่อลงไปถ่ายภาพในหลุม ด้วยเวลาจำกัดฉันจึงซื้อโปสการ์ดติดมือมาแทน แต่ถ้าใครอยากถ่ายรูปคู่กับรูปปั้นทหาร จะมีเจ้าหน้าที่จัดฉากจัดแสงให้เช่นกัน เหมือนถ่ายในสตูดิโอ ราคา 1 รูป 700 บาท เป็นภาพที่ระลึกที่เก๋ไม่เบา

ความตื่นตาของรูปปั้นทหารกว่า 8,000 ตัวนี่กระมัง ทำเอาหลายคนตะลึงทึ่งในความสามารถของคนจีนสมัยก่อน..



 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




ความคิดเห็นของคุณกับบทความนี้ ...

 

user_icon

Knowledge Center
knowledge center
knowledge

star

CEM กลยุทธ์ของการตรึงใจและรักษาลูกค้า
 
เรื่องน่ารู้ตามหมวดหมู่
• การแพทย์
• ความรู้ทั่วไป
• เรื่องของผู้หญิง
• กีฬา
• ข่าวและสื่อ

และอื่น ๆ อีกมาก

  ค้นหาเรื่องที่คุณสนใจ
ระบุ keyword
 
True vision

TV Icon

TV Interview

หลากเรื่องราวทางธุรกิจ แง่มุมของผู้บริหาร จากบริษัทชั้นนำต่างๆ

dot
HR Corner
สัมภาษณ์คัดเลือกผู้สมัครงานอย่างไร? ให้ตรงสเป็ค
https://www.jobpub.com/new_images/play.gif
 
The Seeds of Innovation นวัตกรรมใหม่แห่งการพัฒนาบุคลากร
https://www.jobpub.com/new_images/play.gif
 
การสร้างความแตกต่าง ให้เหนือคู่แข่ง
คุณมกร พฤฒิโฆสิต
https://www.jobpub.com/new_images/play.gif
dot

https://www.jobpub.com/new_images/playall_b.gif

 

หางานบ่อย : บัญชี ลาดปลาเค้า วุฒิ ม.6ในจ.นนทบุรี งาน รปภ วุฒิ ปวช. ชลบุรี พราราม2 มีนบุรี พนักงานphotoshop หางานในหัวหิน หางาน7-11ยะลา งาน จ.นครนายก ฝ่ายผลิต นิคมบางพลี แถวบางพลี central plaza khonkaen งานทั่วไปพะเยา lวนหลวง โรงเรียนเขตรัชดา ห้วยขวาง โฟร ืแมน สมัครงานวุฒิ ม3 แคดแคม โรงแรม จ.นครราชสีมา ขายเกม chef กทม รƒร‘ยบ ไทยสากล นำสินการไฟฟ้า หาดใหญ่ ผู้ช่วยผู้จัดการ ชลบุรี เฃตบางเขน สายไหม ปฏิบัติการ pc ม.3 ขายสมุทรปราการ pc จัดรายการพิตตี้ ธนาคาร กระบี่ วุฒ ปวส. ช่างเทคนิค ไฟฟ้า ฝ่ายบุคคล สายไหม BBow ยผร™รฉยจร‘ยดยกร’รƒรขรƒยงยงร’ยน CRM and ทาม งาน จ.ราชบุรี central ปิ่นเกล้า ธุรการ บางโฉลง เดินภาพ คุรุสภา วิศวกรไฟฟ้า และเขียนแบบ จั การบัญชีปัตตานี e พนักงานเสริฟร้านกาแฟ พนักงานรายวัย ผู้จัดการจัดส่ง